หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

You make me smile


You're better then the best
I'm lucky just to linger in your light
Cooler then the flip side of my pillow, that's right
Completely unaware
Nothing can compare to where you send me, 
Lets me know that it's ok, yeah it's ok
And the moments where my good times start to fade

You make me smile like the sun
Fall out of bed, sing like a bird
Dizzy in my head, spin like a record
Crazy on a Sunday night
You make me dance like a fool
Forget how to breathe
Shine like gold, buzz like a bee
Just the thought of you can drive me wild
Ohh, you make me smile

Even when you're gone
Somehow you come along
Just like a flower poking through sidewalk crack and just like that
You steal away the rain and just like that

You make me smile like the sun
Fall out of bed, sing like a bird
Dizzy in my head, spin like a record
Crazy on a Sunday night
You make me dance like a fool
Forget how to breathe
Shine like gold, buzz like a bee
Just the thought of you can drive me wild
Ohh, you make me smile

Don't know how I lived without you
Cuz everytime that I get around you
I see the best of me inside your eyes
You make me smile
You make me dance like a fool
Forget how to breathe
Shine like gold, buzz like a bee
Just the thought of you can drive me wild

You make me smile like the sun
Fall out of bed, sing like a bird
Dizzy in my head, spin like a record
Crazy on a Sunday night
You make me dance like a fool
Forget how to breathe
Shine like gold, buzz like a bee
Just the thought of you can drive me wild
Ohh, you make me smile

"Shine Your Way"


Just before the dawn, 
When the light's still gone, 
Shine, shine your way, 
And you may not know, where to go, 
Shine, shine your way 

Open road but it's still dark, 
Build a fire from a spark, 
And shine, shine your way, 
Feed the feeling in your heart, 
Don't conceal it then you'll start, 
To find, find your way 

No one can stop, what has begun, 
You must believe when I say 

All of your tears will dry faster in the sun, 
Starting today, 
Shine, shine, shine, 
Shine your way 

There's an open sky, 
And a reason why, 
You shine, shine your way, 
There's so much to learn, 
And now it's your turn, 
To shine, shine your way 

There's a feeling deep inside, 
You can let it be your guide, 
To find, find your way, 
And there's no time for us to waste, 
Got to take a leap of faith, 
And fly, fly away 

Don't have to walk, 
Now you can run, 
Nothing can get in your way 

All of your tears will dry faster in the sun, 
Starting today, 
Shine, shine, shine, 
Shine your way 

Morning is breaking, 
Darkness is fading, 
We found a way to the light, 
It's such a beautiful sight 

Any time, anywhere, 
Turn around and I'll be there, 
To shine, shine your way 

Like a star burning bright, 
Lighting up the darkest night, 
I'll shine, shine your way 

Now I can see, 
You are the one, 
Sent here to show me the way 

All of your tears will dry faster in the sun, 
Starting today, 
Shine, shine, shine, 
We're on our way, 
Shine, shine, shine, 
That's what we say, 
Shine, shine, shine, 
Shine your way

There's a reason why
You shine, shine your way

All of our tears will dry faster in the sun
Shine your way

"It's Time"



So this is what you meant
When you said that you were spent
And now it's time to build from the bottom of the pit
Right to the top
Don't hold back
Packing my bags and giving the academy a rain-check

I don't ever wanna let you down
I don't ever wanna leave this town
'Cause after all
This city never sleeps at night

It's time to begin, isn't it?
I get a little bit bigger but then I'll admit
I'm just the same as I was
Now don't you understand
That I'm never changing who I am

So this is where you fell
And I am left to sell
The path to heaven runs through miles of clouded hell
Right to the top
Don't look back
Turning to rags and giving the commodities a rain-check

I don't ever wanna let you down
I don't ever wanna leave this town
'Cause after all
This city never sleeps at night

It's time to begin, isn't it?
I get a little bit bigger but then I'll admit
I'm just the same as I was
Now don't you understand
That I'm never changing who I am

It's time to begin, isn't it?
I get a little bit bigger but then I'll admit
I'm just the same as I was
Now don't you understand
That I'm never changing who I am

This road never looked so lonely
This house doesn't burn down slowly
To ashes, to ashes

It's time to begin, isn't it?
I get a little bit bigger but then I'll admit
I'm just the same as I was
Now don't you understand
That I'm never changing who I am

It's time to begin, isn't it?
I get a little bit bigger but then I'll admit
I'm just the same as I was
Don't you understand
That I'm never changing who I am


Ketchup กับ Tomato Sauce ต่างกันอย่างไร



ข้อสรุป
ทั้ง Tomato Sauce กับ Ketchup แปลว่าซอสมะเขือเทศ แต่ Tomato Sauce จะเป็น
ซอสมะเขือเทศที่มีลักษณะร้อนจะอยู่บนพิซซ่าหรือสปาเก็ตตี้
ในขณะที่ Ketchup (เค็ทฉัพ/แค็ทฉัพ) หรือ Catsup (แค็ทสัพ) จะเป็นซอสมะเขือเทศ
ที่อยู่ในซองหรือขวด จะเย็นและมีส่วนผสมของน้ำตาล
ตัวอย่างประโยค
I’m going to put some ketchup on my hamburger.  
ฉันจะใส่ซอสมะเขือเทศบนแฮมเบอร์เกอร์

I wanna put some ketchup on my hamburger.  
ฉันอยากใส่ซอสมะเขือเทศบนแฮมเบอร์เกอร์

I wanna put some ketchup on my french fries.  

ฉันอยากใส่ซอสมะเขือเทศบนเฟรนช์ฟรายส์
french fries ออกเสียงว่า เฟร็นฉฺ ฟรายซฺ 

I wanna dip my french fries in some ketchup. 

ฉันอยากจิ้มเฟรนช์ฟรายส์ในซอสมะเขือเทศ

ของแถม
Same difference.
ไม่ต่างกันเลย

It’s the same

ไม่ต่างกัน/เหมือนกัน

Same Same 
 เป็นวลีไทย

I have the same shirt as you.  

ฉันมีเสื้อเดียวกันกับคุณ  


Yet ใช้อย่างไร



ข้อสรุป

Yet = ยัง
Present Perfect Tense 
ใช้กริยาช่อง ๓ ที่จะพูดถึงสิ่งที่เริ่มในอดีต
และเป็นจริงอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

Have you eaten yet?  
คุณทานข้าวหรือยัง

Yes, I have (already) eaten.  
ฉันทานข้าวเรียบร้อยแล้ว

No, I haven’t eaten yet.  
ฉันยังไม่ได้ทานข้าว

No, I still haven’t eaten. 
ฉันยังไม่ได้ทานข้าว

I haven’t eaten for five hours.  
ฉันยังไม่ได้กินข้าวมา 5 ชั่วโมงแล้ว

Past Simple Tense
ใช้กริยาช่อง ๒ พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและจบไปแล้ว
 

Did you eat yet? 
คุณทานข้าวหรือยัง

Yes, I ate already.  
ฉันทานข้าวเรียบร้อยแล้ว 
หรือ
Yes, I already ate.  
ฉันทานข้าวเรียบร้อยแล้ว


ในบางกรณี  yet แปลว่า อย่างไรก็ดี แต่ หรือแต่ก็ยัง เช่น

He’s weird, yet I like him.  
เขาแปลก แต่ว่าฉันชอบเขา 


It's a small car, yet it's spacious inside. 
มันเป็นรถคันเล็กแต่ก็ยังมีความกว้างข้างในรถ

Aboard กับ Abroad ต่างกันอย่างไร, ตั้งใจ มุ่งมั่น ภาษาอังกฤษว่าอย่างไร


abroad อะ 'บรอด (adv.) ต่างประเทศ
I am very determined to go abroad.  
ฉันมีความตั้งใจที่จะไปเมืองนอก

aboard อะ 'โบเออรฺดฺ (adv./prep.) อยู่บนยานพาหนะ
I’m aboard a ship that is going abroad.  
ฉันอยู่บนเรื่อซึ่งกำลังไปต่างประเทศ

determined เดอะ 'เทอรฺ มินฺดฺ (adj.) ตั้งใจ
I'm determined to learn English/Thai.  
ฉันตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ/ไทย

eager อีเกอรฺ (adj.)  ตั้งใจกระตือรือร้น
He is very eager to learn.  
เขาตั้งใจเรียนมากๆ

driven ดริเฝิ่น (adj.) 
มุ่งมั่นและตั้งใจในการพยายามประสบความสำเร็จ 
He is very driven to learn this language.  
เขามีความมุ่งมั่นที่จะได้เรียนรู้ภาษานี้
(V3) ขับขี่ 
Have you ever driven a motorcycle before?
คุณเคยขับรถมอเตอร์ไซค์มาก่อนมั้ย

True, Truth, กับ Trust ใช้ต่างกันอย่างไร



True (adj.) จริง  This is a true story. นี่เป็นเรื่องจริง

Truth (n.) ความจริง Tell me the truth! บอกความจริงมา

Trust (v.) ไว้วางใจ I trust you. ฉันไว้วางใจคุณ

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

Le Fantôme de l'Opéra (The Phantom of the Opera)

Gaston Leroux - Le Fantôme de l'Opéra.jpg
Le Fantôme de l'Opéra หรือ The Phantom of the Opera เป็นวรรณกรรมฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งประพันธ์โดยนักเขียนชาวฝรั่งเศสนามว่า กาสตง เลอรูซ์ เป็นนวนิยายแนวโกธิกแบบลึกลับสยองขวัญซึ่งอิงจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในโรงอุปรากรการ์นิเย่ของฝรั่งเศส และมีเนื้อหาที่กล่าวถึงความรักสามเส้าระหว่างชายอัปลักษณ์ชื่ออีริค (แฟนธ่อม) คริสติน ดาเอ้ ผู้เป็นนักร้องอุปรากรสาวซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขา และราอูล ซึ่งเรื่องนี้จบลงด้วยโศกนาฏกรรมที่เศร้าสลด
จากเนื้อหาที่คลาสสิกของ เดอะแฟนธ่อมออฟดิโอเปร่า นี้เอง ที่ทำให้มีการนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์, ละครเวที และละครเพลงอยู่บ่อยครั้งตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และยังมีบทประพันธ์ลูกอีกหลายเรื่อง อาทีเช่น The Phantom (โดย Susan Kay), แฟนธ่อม ออฟ เดอะ แมนฮัตตัน เป็นต้น
นิยายเรื่อง เดอะแฟนท่อมออฟดิโอเปร่า นับเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ด้วย เนื่องจาก กาสตง เลอลูซ์ได้เขียนขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงโดยนับจากช่วงเวลาที่เขาเขียนนิยายย้อนกลับไปประมาณสามสิบปี ซึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความสนใจแก่เลอลูซ์ คือ "การตกลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุของโคมระย้า" ระหว่างอุปรากรเรื่อง "เฟาสต์" ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายคนและเสียชีวิตหนึ่งคน, การจมน้ำเสียชีวิตของคนกลุ่มเล็กๆ ในคลองใต้โรงละครอย่างลึกลับ, การเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของเคาต์ฟิลลิปป์ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์โรงละคร และมีการพบศพของเขาที่ปากท่อระบายน้ำ, เรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี" ในโรงละคร และการที่โรงละครจะต้องสูญเงินอย่างเป็นปริศนามากถึง 20,000 ฟรังส์ต่อเดือนในช่วงนั้น
แม้ในนิยาย "ผีแห่งโรงละคร" จะเป็นเรื่องที่พูดกันมากในช่วงเวลานั้นจริงๆ แต่แท้จริงแล้ว เรื่องของผีไม่ใช่เรื่องแพร่หลาย หากเป็นเรื่องที่รู้กันลับๆ เฉพาะในหมู่คนที่ทำงานในโรงอุปรากรเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ เรื่องของผีตนนี้โด่งดังขึ้นจากนวนิยายของเลอรูซ์นั้นเอง
กาสตง เลอรูซ์ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเชื่อเรื่องที่เขาเขียน และยังอ้างว่าระหว่างการซ่อมแซมโรงอุปรากรการ์นิเย่ เขาได้พบศพของมนุษย์ ซึ่งเขาแน่ใจว่านั่นคือ อีริค-ผีแห่งโรงละคร โดยอ้างว่าโครงกระดูกนั่นมี "แหวนทองคำเกลี้ยง" สวมที่นิ้ว ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของคนเปอร์เซียที่ว่า "เขาได้รับแหวนทองคำจากคริสติน ดาเอ้ในวันที่เธอทิ้งเขาไป" แต่เลอรูซ์ ไม่ได้บอกว่าร่างที่เชื่อว่าเป็นอีริคนั้นถูกย้ายไปไว้ที่ไหน
เรื่องย่อ
คริสตินได้สูญเสียพ่อและแม่จนต้องมาอยู่ที่โรงอุปรากรการ์นิเย่ มีโอกาสได้รับการสอนร้องเพลงจากครูที่ลึกลับที่เห็นพรสวรรค์ของเธอ ซึ่งเธอเรียกเขาว่า "เทวดาแห่งบทเพลง" เพราะความลึกลับและน้ำเสียงที่ไพเราะยิ่งกว่าเสียงของมนุษย์คนใดในโลกที่เธอเคยได้ยินได้ฟัง จากการเคี่ยวเข็ญอย่างจริงจัง ในที่สุดเธอก็เก่งพอที่จะขึ้นร้องเพลงแทนคาลอตต้าที่ป่วยได้ ซึ่งเหตุการณ์นั้นประจวบกันที่เคาต์ฟิลลิปป์ได้เข้ามาเป็นผู้อุปถัมป์โรงละคร ทำให้ราอูลซึ่งเป็นน้องชายของท่านเคาต์ และเป็นเพื่อนวัยเด็กของเธอเกิดจำเธอได้และเข้ามาเชื่อมความสัมพันธ์กับเธอ เหตุการณ์นี้ทำให้อีริคอิจฉาและกลัวว่าจะถูกทิ้งจึงมาแนะนำตัวกับเธอในคืนๆ หนึ่ง และพาเธอไปยังถ้ำใต้ดินของโรงอุปรากรซึ่งเขาใช้เป็นที่ซ่อนตัว คืนนั้นอีริคได้สารภาพรักกับคริสติน ระหว่างที่ร้องเพลงประสานเสียงกันนั้นเอง คริสตินอดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้และถอดหน้ากากเขาออก ทำให้เธอได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเทวดาของเธอไม่ใช่เทพจากสวรรค์อย่างที่วาดฝันไว้ แต่เป็นชายอัปลักษณ์ที่น่าสังเวชซึ่งถูกสังคมทารุณจนกลายเป็นคนเสียสติ คริสตินหวาดกลัวและขอร้องให้เขาปล่อยเธอไป ซึ่งเขาก็ยอมตาม โดยมีข้อแม้ว่าเธอต้องไม่แพร่งพรายเรื่องของเขา และติดต่อกับเขาตามปกติ
ราอูลแอบได้ยินคริสตินกับอีริคคุยกันในห้องแต่งตัว ด้วยความหึงหวงเนื่องจากเสียงของอีริคไพเราะอ่อนหวานมาก ราอูลพยายามสืบหาว่าคริสตินแอบพบกับใครเป็นการลับๆ กันแน่ จนกระทั่งในงานราตรีหน้ากาก เมื่อคริสตินพาราอูลออกจากงานเลี้ยงเพราะอีริคได้ปรากฏตัวในคราบ "มัจจุราชแดง" (the red Death) เขาจึงคาดคั้นเอากับเธอ และรู้ความจริงว่าภายใต้ชุดมัจจุราชแดงนั้นคือคนบ้า-อัปลักษณ์ (ไม่ใช่หนุ่มน้อยรูปงามอย่างที่กลัว) ที่มีความเป็นอัจฉริยะในตัว ทำให้เขาสบายใจและบอกเธอว่าจะปกป้องเธอ ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจจะรักกัน และทำให้อีริคที่แอบฟังอยู่เสียใจมาก การพยายามค้นหาความจริงทำให้ราอูลได้รู้เรื่องราวของอิริคจากชายลึกลับชาวเปอร์เซีย ส่วนอีริคนั้น เมื่อทนต่อความเสียใจและอุปสรรคที่บีบเข้ามาทุกทางไม่ได้ อีริคก็ลักพาคริสตินไปขังไว้ที่ถ้ำใต้ดินของโรงอุปรากรและขอร้องไปจนถึงบังคับให้เธอเลือกเขา เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีคนตายจากการกระทำของอีริคมากมาย รวมทั้งเคาต์ฟิลลิปป์ ทำให้ราอูลตัดสินใจตามหาเขาเพื่อช่วยคริสตินและล้างแค้น
อีริคได้ไปพบชายชาวเปอร์เซียที่บ้าน และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ชายชาวเปอร์เซียเข้าใจในความรักที่อีริคมีต่อคริสติน ในการพบกันครั้งสุดท้ายคริสตินได้ยอมเสียสละเพื่อช่วยชีวิตราอูล โดยก้มลงจูบอีริคอย่างไม่รังเกียจ ทำให้อีริคที่พิการทั้งร่างกายและจิตใจได้รับความสุขอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต อีริคตัดสินใจปลดปล่อยคริสติน และราอูลเป็นอิสระ จากนั้นก็ล้มป่วยด้วยความตรอมใจ และเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในอีก 3 สัปดาห์ถัดมา

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

I know him so well


Nothing is so good it lasts eternally
Perfect situations must go wrong
But this has never yet prevented me
Wanting far too much for far too long

Looking back I could have played it differently
Won a few more moments, who can tell
But it took time to understand the man
Now at least I know I know him well

Wasn't it good,
Oh so good
Wasn't he fine
Oh so fine
Isn't it madness
He can't be mine
But in the end he needs a little bit more than me
More security
He needs his fantasy and freedom
I know him so well

No one in your life is with you constantly
No one is completely on your side
And though I move my world to be with him
Still the gap between us is too wide

Looking back I could have played it differently
(Looking back I could have played things some other way)
Learned about the man before I fell
(I was just a little careless maybe)
But I was ever so much younger then
(Much younger then)
Now at least I know him well
Now at least I know I know him well

Wasn't it good
Oh so good
Wasn't he fine
Oh so fine
Isn't it madness
He won't be mine
Didn't I know how it would go
If I knew from the start
Why am I falling apart

Wasn't it good, wasn't he fine
Isn't it madness
He won't be mine
But in the end he needs a little bit more than me
More security

He needs his fantasy and freedom
I know him so well
It took time to understand him
I know him so well