หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

20 คำคมสุดประทับใจ จากภาพยนตร์ดัง


“It takes a great deal of bravery to stand up to your enemies, but a great deal more to stand up to your friends.” – Harry Potter and the Sorcerer’s Stone, 2001

เราใช้ความกล้าหาญอย่างมากในการต่อสู้กับศัตรูของเรา
แต่ต้องใช้ความกล้าหาญมากกว่านั้นอีกเมื่อเราต้องต่อสู้กับเพื่อนของเราเอง





“Oh yes, the past can hurt. But you can either run from it, or learn from it.” – The Lion King, 1994
อดีตทำร้ายเราได้ แต่เราต้องเลือกว่าจะวิ่งหนีมัน หรือเรียนรู้จากมัน





“I guess it comes down to a simple choice, really. Get busy living, or get busy dying.” – Shawshank Redemption, 1994
ผมคิดว่าเรามาถึงทางตันจริง ๆ ต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะทำชีวิตให้มีคุณค่า
หรือจะปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปวัน ๆ





“There’s three ways to do things, the right way, the wrong way and the way that I do it.” – Casino, 1995
มี 3 ทางเลือกให้คุณในการทำอะไรสักอย่าง คือ ทางที่ถูก ทางที่ผิด และทางที่คุณเลือกทำ






“If you’re good at something, never do it for free.” – The Dark Knight, 2008

หากคุณเก่งอะไร จงอย่าทำมันให้ใครฟรี ๆ






“Keep your friends close, but your enemies even closer.” – The Godfather, 1972
จงใกล้ชิดกับมิตรสหาย แต่ใกล้ชิดกับศัตรูให้มากกว่า





“Courage is not living without fear. Courage is being scared to death and doing the right thing anyway.” – Argo, 2012
ความกล้าหาญไม่ใช่การมีชีวิตโดยไม่เกรงกลัวอะไร แต่คือการกลัวความตายและทำในสิ่งดี ๆ ต่างหาก





“Anyone can change your life, if you let them.” – The Intouchables, 2011
ใครก็เปลี่ยนชีวิตคุณได้ ถ้าคุณปล่อยให้เขาทำ





“One day your life will flash before your eyes. Make sure it’s worth watching.” – The Bucket List, 2007
ในวันหนึ่งภาพชีวิตของคุณจะฉายขึ้นตรงหน้า ดังนั้น จงทำในสิ่งที่มีคุณค่าต่อการชม





“Friendship isn’t about being inseparable, but about being separated and knowing nothing will change.” – Ted, 2012

มิตรภาพไม่ใช่การห่างกันไม่ได้เลย แต่คือมันการห่างกันแต่ยังคงรู้ว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป




“Don’t wait till Death shows up before you start learning how to live” – Meet Joe Black, 1998
อย่ารอให้ความตายปรากฏตรงหน้าก่อน แล้วค่อยเรียนรู้การใช้ชีวิต





“Be thankful for the hard times, for they have made you” – The Man In the Iron Mask, 1998
จงขอบคุณช่วงเวลาที่เลวร้าย เพราะมันทำให้คุณเป็นคุณได้ในวันนี้





“Those who are happy are not without pain, they just know how not to be            controlled by it.” – Love and Other Drugs, 2010

คนที่มีความสุขไม่ใช่ว่าเขาไม่เจ็บปวดเลย แต่เขารู้ว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ถูกความเจ็บปวดครอบงำต่างหาก





“Life was like a box of chocolates. You never know what you’re gonna get.” – Forrest Gump, 1994
ชีวิตก็เหมือนกล่องที่เต็มไปด้วยช็อกโกแลต คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะได้รสอะไร











ชาวโรมันในฝรั่งเศส

ซากเรืออับปางโบราณลำหนึ่งเผยเรื่องราวของเมืองการค้า

               อันรุ่งโรจน์สมัยจักรวรรดิโรมัน

 ชาวโรมันในฝรั่งเศส
ชาวโรมันมีปัญหาใหญ่เรื่องขยะ ปัญหาของพวกเขาได้แก่คนโทสองหูที่เรียกว่า แอมโฟรา (amphora) ชาวโรมันต้องใช้คนโทดินเผาดังกล่าวนับล้านๆใบเพื่อบรรจุเหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก และน้ำปลา ก่อนส่งลงเรือไปทั่วจักรวรรดิในกรุงโรมมีเนินเขาพื้นที่ 13 ไร่ สูง 50 เมตรอยู่ลูกหนึ่งชื่อ มอนเตเตสตาโช  (Monte Testaccio)  ซึ่งเต็มไปด้วยคนโทแตกๆกองพะเนิน นักโบราณคดีชาวสเปนผู้ขุดสำรวจกองคนโทนี้เชื่อว่า แอมโฟราน่าจะเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในศตวรรษที่หนึ่ง  ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่จักรวรรดิโรมันกำลังก้าวสู่ความรุ่งเรืองถึงขีดสุด
ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นที่เมืองอาร์ล บนฝั่งแม่น้ำโรน ในบริเวณที่ปัจจุบันคือพื้นที่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส พวกกุลีทำสิ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยโดยโยนคนโทเปล่าลงในแม่น้ำ เมืองอาร์ลในศตวรรษที่หนึ่งเป็นทางผ่านอันรุ่งเรืองสู่ดินแดนของชาวกอลในสมัยโรมัน  และเป็นจุดขนถ่ายสินค้าจากดินแดนต่างๆ ทั่วแถบเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อลงเรือ  จากนั้นคนงานบนฝั่งจะช่วยกันลากเรือขึ้นไปตามแม่น้ำโรน เพื่อนำไปส่งยังดินแดนทางเหนือของจักรวรรดิ
ในย่านใจกลางเมืองบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโรน  เรายังเห็นอัฒจันทร์รูปครึ่งวงกลมที่จุผู้ชมได้ถึง 20,000 คนที่เข้ามาชมการต่อสู้ของแกลดิเอเตอร์ แต่ร่องรอยของท่าเรือที่เคยหล่อเลี้ยงสิ่งเหล่านี้และที่ทอดยาวต่อเนื่องไปราวหนึ่งกิโลเมตรหรือมากกว่าตามริมฝั่งขวาของแม่น้ำ  บัดนี้ไม่หลงเหลืออะไรให้เห็นมากนัก  มีก็แต่เพียง “เงา” จากอดีตในรูปของแนวขยะของชาวโรมันที่ทับถมกันเป็นสันหนา
คนโทอาจเป็นขยะในสายตาของชาวโรมัน  แต่พวกเราในปัจจุบันคงไม่คิดเช่นนั้น  เมื่อฤดูร้อนปี 2004 นักดำน้ำคนหนึ่งที่ลงไปสำรวจกองขยะดังกล่าวเพื่อค้นหาโบราณวัตถุล้ำค่า สังเกตเห็นไม้กองหนึ่งนูนขึ้นมาจากโคลนลึกสี่เมตร ปรากฏว่านั่นคือกราบซ้ายด้านท้ายของเรือท้องแบนยาว 31 เมตร  ลำเรือแทบไม่บุบสลาย  ส่วนใหญ่ฝังอยู่ใต้โคลนและกองคนโทที่ช่วยรักษาสภาพเรือมาตลอดระยะเวลาเกือบ 2,000 ปี
ลุก ลง วัย 61 ปี ทำงานกับแผนกวิจัยโบราณคดีใต้น้ำและทางทะเล (Le Département des Recherchés Archéologiques Subaquatiques et Sous-marines: DRSSM) ของรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องทรัพย์สมบัติของชาติที่จมอยู่ใต้น้ำ  เขากับอัลแบร์ อียูซ เพื่อนซึ่งเป็นทั้งนักดำน้ำและนักล่าเรืออัปปาง  มาที่แม่น้ำอาร์ลในเช้าวันเสาร์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน ตรงจุดที่อยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุในปัจจุบันพอดิบพอดี  อุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 9 องศาเซลเซียส น้ำเป็นฟองฟอดและส่งกลิ่นเหม็น เพราะใกล้ๆกันนั้นเป็นจุดระบายน้ำเสีย ลงมองเห็นทัศนวิสัยข้างหน้าไม่เกินหนึ่งเมตร ซึ่งสำหรับแม่น้ำโรนแล้วต้องถือว่าเป็นวันที่แจ่มใส  กระแสน้ำเชี่ยวกรากปะทะเขาอย่างแรงจนทำให้รู้สึกกลัว  ลึกลงไปราวหกเมตร  ลงรู้สึกว่าตัวเองกำลังเกาะอยู่กับอะไรบางอย่างซึ่งปรากฏว่าเป็นฝาครอบล้อรถ  เขาคลำทางไปยังส่วนที่นั่งคนขับอย่างช้าๆ และกลัวๆกล้าๆ และพบคนโทโรมันใบหนึ่งอยู่บนที่นั่งคนขับ
จากนั้น ทั้งเขาและอียูซก็แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางคนโทที่กองเรียงรายเต็มพื้นที่กว้างใหญ่  ลงไม่เคยเห็นคนโทในสภาพดีจำนวนมากมายเช่นนี้มาก่อน   เขามองเห็นอนาคตรออยู่เบื้องหน้า
ตลอดช่วง 20 ปีแรก งานของลงไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไรนัก  พอถึงปี 2004  เมื่อทีมงานของเขาค้นพบเรือท้องแบนที่ลงตั้งชื่อให้ว่า อาร์ล-โรน 3 (Arles-Rhône 3) เขาไม่คิดว่าจะสามารถหาเงินมากู้เรือได้ ลงกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเลื่อยชิ้นส่วนเรือที่โผล่พ้นโคลนขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วนำไปวิเคราะห์อย่างละเอียด  ต่อมาในปี 2007 นักโบราณคดีสามคนที่อายุน้อยกว่าเขา ได้แก่ ซาบรีนา มาร์ลีเย, ดาวิด ชาวี และแซนดรา เกรก ได้เข้ามาสานต่อการศึกษาเรือ อาร์ล-โรน 3            
ก่อนจะสิ้นสุดฤดูดำน้ำในปีนั้น นักดำน้ำชื่อปีแยร์ ยูสตีนีอานี ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เจอซากเรือ อาร์ล-โรน 3  พบรูปสลักที่ทำให้เรือลำนี้ได้รับความสนใจในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการค้นพบครั้งสำคัญ นั่นคือรูปสลักหินอ่อนครึ่งตัวที่ดู คล้ายจูเลียส ซีซาร์ ที่ผ่านมารูปเหมือนของซีซาร์เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง  และนี่อาจเป็นประติมากรรมเพียงชิ้นเดียวที่หลง เหลือซึ่งทำขึ้นขณะซีซาร์ยังมีชีวิตอยู่ บางทีอาจหลังจากที่เขาประกาศให้เมืองอาร์ลเป็นอาณานิคมของโรม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรุ่งเรืองนานนับหลายศตวรรษของเมืองนี้
ตอนที่เรือ อาร์ล-โรน 3 จมลง มันกำลังบรรทุกหินก่อสร้างหนัก 30 ตัน เป็นแผ่นหินปูนแบนๆ ขนาดต่างๆกันมีความหนาตั้งแต่ 8 - 15 เซนติเมตร มาจากเหมืองหินแห่งหนึ่งในแซงต์กาเบรียล ห่างจากเมืองอาร์ลไปทางเหนือราว 14 กิโลเมตร เรืออาจกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ก่อสร้างบนฝั่งขวาของแม่น้ำ  ซึ่งเป็นบริเวณไร่นาบนที่ลุ่มชื้นแฉะทางใต้ของเมืองอาร์ล แต่หัวเรือกลับหันไปทางต้นน้ำ แทนที่จะเป็นปลายน้ำ ชี้ให้เห็นว่าเรือถูกผูกติดอยู่กับท่าเทียบเรือขณะจมลงบางทีอาจเกิดจากน้ำท่วมฉับพลัน
เมื่อน้ำท่วมลดระดับลง ตะกอนจำนวนมากที่ถูกซัดขึ้นมาจมลงนอนก้นอีกครั้ง และปกคลุมเรือเป็นชั้นดินเหนียวละเอียดหนาไม่เกิน 15 เซนติเมตร ในชั้นดินเหนียวดังกล่าว  มาร์ลีเยกับทีมงานพบข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของลูกเรือเป็นเคียวที่ใช้สับฟืนเพื่อก่อไฟทำอาหาร  มีคนโทดินเหนียวขนาดใหญ่ที่เรียกว่าโดเลียม (dolium) ผ่าครึ่งสำหรับใช้เป็นภาชนะหุงหาอาหาร นอกจากนี้ ยังมีจานและเหยือกน้ำสีเทา มาร์ลีเยบอกว่า “นี่เป็นเรื่องแปลกของเรือลำนี้ค่ะ เราหากัปตันไม่พบ แต่นอกนั้น เราพบหมด” เสากระโดงเรือที่มีร่องรอยสึกหรอจากเชือกที่ผูกสำหรับลากเป็นการค้นพบล้ำค่าที่สุดสำหรับเธอ
นอกจากประวัติความเป็นมาของเรือแล้ว โคลนและขยะของชาวโรมันเกือบ 900 ลูกบาศก์เมตรที่กลบฝังเรือจนมิดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยังทำให้เราเห็นภาพอดีตของเมืองการค้าอย่างอาร์ลอีกดัวย ภายในห้องใต้ดินที่มีแสงสลัวๆของพิพิธภัณฑ์   ชาวีกับผมเดินไปตามช่องทางเดินยาวที่มีคนโทตั้งเรียงราย  “เราต้องศึกษาคนโททั้งหมดครับ” เขาบอก แหล่งทิ้งขยะนี้รุ่มรวยเสียจนนักโบราณคดีต้องนำชิ้นส่วนเซรามิกน้ำหนักรวม 120 ตันกลับลงไปไว้ที่ก้นแม่น้ำตรงหลุมที่เกิดจากการกู้ซากเรือขึ้นมา ผมถามชาวีถึงหินก่อสร้างที่พบซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เขาตอบว่า มันหนักเกินกว่าเรือซึ่งบูรณะขึ้นใหม่จะรับไหว พวกเขาจึงจำลองหินขึ้นมาแทน ชาวีพาผมออกไปทางด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ หินเหล่านั้นกองอยู่ถัดจากถังขยะใบใหญ่  และรอคอยเวลาที่จะหวนคืนสู่แม่น้ำอีกครั้ง


ชาวโรมันในฝรั่งเศส


ชาวโรมันในฝรั่งเศส


ชาวโรมันในฝรั่งเศส

ชาวโรมันในฝรั่งเศส

ชาวโรมันในฝรั่งเศส

ชาวโรมันในฝรั่งเศส

ชาวโรมันในฝรั่งเศส

ชาวโรมันในฝรั่งเศส

ชาวโรมันในฝรั่งเศส

ชาวโรมันในฝรั่งเศส

ชาวโรมันในฝรั่งเศส

















มาลาลา สาวนักสู้หัวใจเพชร รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ซึ่งชาวโลกเฝ้าติดตาม ได้มีการประกาศผลออกมาแล้ว ผู้ร่วมคว้ารางวัลโนเบล สันติภาพ ประจำปี 2557 นี้ ได้แก่ มาลาลา ยูซาฟไซ หญิงสาวชาวปากีสถาน วัย 17 ปี  และนายไกลาศ สัตยาธี ชาวอินเดีย วัย 60 ปี ในฐานะที่บุคคลทั้งสองเป็นนักรณรงค์ด้านการศึกษา พยายามต่อสู้เรียกร้องเพื่อสิทธิของเด็กๆ ในปากีสถานและอินเดียให้มีโอกาสได้เรียนหนังสือ  โดยมาลาลา นับเป็นบุคคลอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้  ซึ่งปี 2013 ที่ผ่านมา เธอชวดรางวัลนี้ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ปีนี้เธอก็ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้อย่างเป็นที่น่าภูมิใจ ถือเป็นรางวัลต่อมวลมนุษยชาติที่น่าชื่นชมเป็นที่สุด
nobel
มาลาลา ยูซาฟไซ เธอมีหัวใจที่เข้มแข็งและกล้าหาญ ที่ผ่านมาเธอต้องต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพทางการศึกษาท่ามกลางความรุนแรงภายในประเทศ จน มาลาลา ได้ถูกมือปืนฏอลิบาน (Taliban) ยิงศรีษะจนเกือบเสียชีวิต แต่เธอก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ด้วยความหวังที่ว่าจะให้เด็กหญิงทั่วโลกได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน
ด้วยหัวใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวทรงพลังของเธอนั้นเป็นประจักษ์แก่สายตาของคนทั่วโลก และนี่เองทำให้ มาลาลา ยูซาฟไซ ถูกเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2013 ซึ่งการที่เธอได้รับเกียรติอันสูงสุดนี้ สะท้อนให้เห็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคของสตรี ในเรื่องการศึกษา และเพื่อประชาธิปไตยที่ประชาชนในชาติทุกคนพึงได้รับอย่างเท่าเทียมไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นหญิงหรือชาย และอีกเหตุการณ์ที่คนทั่วโลกต่างปรบมือชื่นชมในจิตใจนักสู้ของเธอก็คือ การกล่าวสุนทรพจน์ บนเวทีเวทีสหประชาชาติ ซึ่งบทสุนทรพจน์ที่เธอได้กล่าวนั้นย้ำให้ถึงจุดยืนที่มุ่งมั่นในแนวทางที่จะใช้การศึกษาเป็นอาวุธในการประกาศสงคราม(ปัญญา)เพื่อต่อสู้กับความรุนแรงของผู้ก่อการร้ายที่เคยหมายมั่นจะเอาชีวิตเธอ
” ผู้ก่อการร้ายคิดว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงความปราถนามุ่งมั่นของฉันได้ พวกเขาไม่รู้เลยว่าในชีวิตฉันมีเพียงความอ่อนแอ ความหวาดกลัว และความสิ้นหวังเท่านั้นที่เปลี่ยน แต่ความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวและพลังความกล้าหาญได้เกิดขึ้นมาแทน”   
“ให้เราได้มีโอกาสหยิบสมุดและปากกาของพวกเราขึ้นมา เพราะพวกมันเป็นอาวุธสำคัญที่พวกเรามี เด็กหนึ่งคน ครูหนึ่งคน และหนังสือหนึ่งเล่ม สามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ การศึกษาเป็นคำตอบ การศึกษาต้องมาก่อน” 
คำกล่าวสุนทรพจน์(บางส่วน)ของ มาลาลา ยูซาฟไซ บนเวทีสหประชาชาติ ปี 2012
มาลาลา ยูซาฟไฟ
แต่น่าแปลกใจที่ชาวปากีสถานเอง กลับไม่ขานรับกับการที่เธอลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องสิทธิการศึกษาให้เด็กและสตรีที่ถูกริดรอน ยิ่งไปกว่านั้นชาวปากีสถานกลับมองว่าการกล่าวสุนทรพจน์ของเธอบนเวทีสหประชาชาตินั้นเป็นเพียงฉากละครหนึ่งเท่านั้น!
Malala-Yousafzai1
อย่างไรก็ตามแม้ว่าชาวปากีสถานจะไม่เห็นคุณค่าอันสิ่งใหญ่ในสิ่งที่เธอได้พยายามต่อสู้ แต่ในสายตาของคนทั้งโลกแล้ว เสียงเรียกร้องของเธอนั้นยิ่งใหญ่และน่ายกย่องชื่นชมเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลต่างๆมากมาย อาทิ รางวัลสิทธิมนุษยชนเพื่ออิสรภาพของผู้หญิงนานาชาติ ( Simone de Beauvoir Prize, International Human Rights Prize for Women’s Freedom, 2013) และรางวัลเยาวชนเพื่อสันติภาพแห่งชาติ (National Youth Peace Prize,2011) และ มาลาลา ถือเป็นคนแรกของปากีสถานที่ได้รับรางวัลนี้ นอกจากนี้นิตยสาร TIME ได้จัดให้มาลาลาได้รับเลือกเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอันดับสองแห่งปี 2012 รองจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา และจากที่เธอต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อนั้นทำให้ สหประชาชาติ ได้ถือเอาวันที่ 12 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดครบ 16 ปี ของมาลาลา ประกาศให้วันนี้เป็น “วันมาลา” (Malala Day) หรือวันเพื่อการศึกษาของเด็กทั่วโลก
มาลาลา ยูซาฟไฟ
“ฉันไม่รังเกียจที่จะนั่งที่พื้นของโรงเรียน สิ่งที่ต้องการสำหรับฉัน คือ การได้เรียนหนังสือ และฉันไม่เกรงกลัวใครที่จะแสดงออกเช่นนี้”
จากการกระทำของ มาลาลา ยูซาฟไซ สาวน้อยนักสุู้หัวใจสิงห์ ทำให้เราเห็นภาพของการต่อสู้ที่เด็ดเดี่ยวของเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่ผ่านอะไรมามากมาย เกินกว่าชีวิตวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป ซึ่งเธอไม่แสดงความเปราะบาง อ่อนแอ หรือโอนอ่อนต่อความอยุติธรรมและอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ที่จะให้เด็กและสตรีในปากีสถานได้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม

g9530_malala.indd
เมื่อมองการกระทำของ  มาลาลา ยูซาฟไซ เป็นตัวอย่างแล้วเราก็ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าแล้วตัวเราล่ะ เราได้ทำประโยชน์หรือสร้างคุณค่าอะไรต่อคนรอบข้างหรือสังคมบ้างแล้วหรือยัง เราแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวได้ครึ่งหนึ่งของเธอไหม ถึงอย่างไรดิฉันก็เชื่ออย่างหนึ่งนะคะว่าการเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆในวันนี้มันก็สามารถสร้างคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกันนะคะ อย่ารีรอที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้สังคมและโลกใบนี้กันนะคะ

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปรากฏการณ์ 'หลุมเมฆ' เสมือนท้องฟ้าเปิดประตูทะลุมิติ

ชาวออสซี่ตื่นตะลึง เงยหน้ามองฟ้าแล้วเห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ "หลุมเมฆ" ที่นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังสร้างความตื่นตาตื่นใจ เพราะเสมือนกับท้องฟ้ามีหลุมขนาดใหญ่ จนสามารถเปิดประตูทะลุไปสู่อีกมิติที่อยู่เหนือโลก
เมื่อ 4 พ.ย. สำนักข่าวเอบีซี รายงานว่า ประชาชนในรัฐวิกตอเรีย ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย ต้องพากันตื่นตะลึงกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่เรียกว่า Fallstreak Hole (ฟอลล์สตรีก โฮล) หรือ หลุมเมฆ เสมือนท้องฟ้าสามารถเปิดประตูทะลุมิติ เชื่อมกับอีกมิติหนึ่งที่อยู่เหนือโลกอย่างน่าอัศจรรย์
สำหรับปรากฏการณ์ Fallstreak Hole หรือ หลุมเมฆ บนท้องฟ้าที่เสมือนเป็นประตูทะลุมิตินั้น เกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าที่กิพพ์แลนด์ รัฐวิกตอเรีย เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ของวันจันทร์ที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) ขณะที่มีประชาชนหลายคน สามารถบันทึกภาพปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่นตะลึงครั้งนี้ได้ทัน แสดงให้เห็นท้องฟ้าเหมือนมีหลุมขนาดใหญ่ ที่สามารถทะลุออกไปได้ อีกทั้งยังมีแสงสีรุ้งสวยงามพาดผ่านอยู่ในหลุมนั้นด้วย
ทั้งนี้ ตามรายงานของสมาคมการศึกษาเมฆ ระบุว่า ปรากฏการณ์ฟอลสตรีก โฮล หรือ หลุมเมฆ ซึ่งมีลักษณะเป็นช่องเปิดภายในเมฆนั้น อาจมีลักษณะรูปร่างเป็นวงกลม หรือวงรี เกิดจากอุณหภูมิของน้ำในก้อนเมฆ ได้ลดต่ำสู่ระดับจุดเยือกแข็ง แต่ยังไม่อาจกลายเป็นน้ำแข็งได้ทันที จึงทำให้น้ำในก้อนเมฆ เกิดการจับตัวเป็นผลึกใสและร่วงตกลงมาอยู่ใต้ชั้นเมฆ จนทำให้เมฆบริเวณนั้น มองดูเหมือนเป็นหลุมขนาดใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับก้อนเมฆใกล้เคียง ก่อนที่ผลึกน้ำแข็งเหล่านี้จะร่วงตกลงมาเป็นหิมะ หรือละลายเป็นฝน

ประเภทของครีมกันแดด

ครีมกันแดดมีทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้คือ

1. Chemical Sunscreen
เป็นสารกันแดดที่ผลิตมาจากสารเคมีแล้วมาผสมลงในครีม มีหลักการการปกป้องแสงที่จะเข้ามาทำร้ายผิว โดยการดูดซับรังสีแสงแดดเข้าไว้ในผิว เพื่อนๆลงนึกภาพตามเราทาครีมกันแดดไว้บนผิว เมื่อแดดเข้ามามันก็ดูดไปที่ครีมกันแดดนั่นแหละซึ่งซึมอยู่บนผิวเรา แล้วทีนี้พอโดนแดดสักพัก สารเคมีเหล่านี้ก็เสื่อมสภาพ ฉะนั้นพอมันเสื่อมเราก็ต้องคอยเติมซึ่งก็คือการทาครีมกันแดดเพิ่มทุก 2-3 ชม.เวลาออกแดดจัดนั่นเอง และการเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ก็หมายถึงการมีส่วนผสมของสารเคมีในปริมาณที่มาก อาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังโดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่าย

2. Physical Sunscreen
เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสาร ที่สามารถสะท้อนรังสี UVA และ UVB ออกไปจากผิวหนัง คือเวลาเพื่อนๆทาครีมกันแดดแบบนี้แล้วออกแดด เมื่อแสงแดดมากระทบผิวถูกสารตัวนี้สะท้อนออกไป ซึ่งสารกันแดดแบบนี้ข้อดีคือไม่ค่อยจะมีกรณีที่ระคายเคียงต่อผิวเท่ากับแบบแรก แต่มีข้อเสียคือ ครีมกันแดดประเภทนี้ไม่สามารถให้ SPF ที่สูงๆ ได้ และเมื่อทาบนผิวหนังแล้ว หน้าจะดูขาวมาก ขาววอกเลยล่ะ เนื่องจากสารจะเคลือบบนผิวหนังชั้นบน เพื่อรอแสงกระทบ จึงมีการดูดซึมสู่ผิวน้อย ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ เพื่อนๆของเราจะรู้เลยว่าเราทาครีมกันแดดมานี่นา

3. แบบผสม Chemical-Physical Sunscreen
เป็นการผสมกันระหว่างสารกันแดดของสองแบบข้างต้น จึงเป็นการเสริมข้อดี ลดข้อด้อยในแต่ละส่วน คือ ลดการระคายเคืองต่อผิวหนัง จากสารประเภทสารเคมี และลดความขาวเมื่อทาครีม และเสริมประสิทธิภาพ ในการป้องกันแสงแดดที่มากขึ้น

ไลก้า’ สุนัขตัวแรกที่ถูก 'โซเวียต'ส่งไปนอกโลก 57 ปีก่อน

ยังไม่ลืม ‘เจ้าไลก้า’ สุนัขตัวแรก ที่ถูกอดีตสหภาพโซเวียตส่งขึ้นไปกับยานอวกาศ ‘สปุตนิก 2’ เพื่อโคจรรอบโลก เมื่อ 57 ปีก่อน ท่ามกลางความสงสารของชาวโลก เพราะมันไม่มีโอกาสจะกลับมายังโลกมนุษย์อีก
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. เว็บไซต์ของนิตยสารไทม์ ที่ทรงอิทธิพลในสหรัฐฯ เสนอรายงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 57 ปีที่ เจ้า ‘ไลก้า’ สุนัขตัวแรก ได้ถูกประเทศอดีตสหภาพโซเวียต ส่งขึ้นไปในห้วงอวกาศ เมื่อ 57 ปีก่อน จึงทำให้ ‘ไลก้า’ กลายเป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่เดินทางไปนอกโลก
เจนนิเฟอร์ ลัตสัน ผู้สื่อข่าวของไทม์ เขียนรายงาน ‘เรื่องเศร้าของ ไลก้า ’สุนัขตัวแรกที่ถูกส่งขึ้นไปกับยานอวกาศสปุตนิก 2 ของสหภาพโซเวียต ในห้วงอวกาศ ในวันที่ 3 พ.ย.2500 เพื่อต้องการทดสอบเกี่ยวกับความปลอดภัย ก่อนจะมีการส่งนักบินอวกาศคนแรก ไปในห้วงอวกาศ แต่ขณะเดียวกัน การกระทำดังกล่าว ย่อมถือเป็น ‘การฆาตกรรม’ สุนัขเคราะห์ร้ายตัวนี้ เนื่องจาก เทคโนโลยีด้านอวกาศในขณะนั้น ยังไม่มีความก้าวหน้าถึงขั้นที่จะนำมันกลับมายังโลกได้อีก
ตามรายงานของเอพี ระบุว่า ไลก้า เป็นสุนัขจรจัด เพศเมีย ที่ถูกเก็บมาจากข้างถนนในกรุงมอสโก เมืองหลวงของอดีตสหภาพโซเวียตในขณะนั้น (ปัจจุบัน คือประเทศรัสเซีย) เพียงแค่สัปดาห์เดียวก่อนจะถึงกำหนดวันยิงจรวดขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ด้วยเหตุผลที่ ไลก้า เป็นสุนัขที่ตัวเล็ก และดูสงบ มันจึงถูกเลือกให้มีฐานะเป็น สุนัขอวกาศตัวแรกที่จะถูกส่งขึ้นไปกับยานอวกาศเพื่อโคจรรอบโลก ก่อนจะมีการส่ง ‘ยูริ กาการิน’ นักบินอวกาศคนแรก ชาวโซเวียต ขึ้นไปในโคจรรอบโลก
ยูริ กาการิน นักบินอวกาศ ชาวโซเวียต คนแรก ที่เดินทางไปนอกโลก
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้า จะส่งไลก้าขึ้นไปกับยานสปุตนิก 2 นั้น ทางศูนย์อวกาศของอดีตสหภาพโซเวียตได้ส่งสุนัขไปนอกโลกแล้วทั้งหมดรวม 36 ตัว แต่สุนัขตัวอื่นๆ เพียงแค่เดินทางไปกับยานอวกาศเท่าน้ัน ไม่ได้โคจรรอบโลกเหมือนกับเจ้าไลก้า 
อย่างไรก็ตาม ขณะที่สหภาพโซเวียตส่งยานอวกาศที่มีเจ้าไลก้าขึ้นไปในห้วงอวกาศเมื่อ 57 ปีก่อนนั้น สำนักข่าวหลายสำนักในสหรัฐฯ และอังกฤษ ได้รายงานข่าวแสดงความสงสาร ไลก้า กันอย่างมาก แต่ทางเจ้าหน้าที่โซเวียตได้ตอบโต้ว่า ชาวรัสเซียรักสุนัข และการที่ส่งไลก้าไปกับยานอวกาศโคจรรอบโลกนั้น ไมใช่การทารุณโหดร้ายต่อสัตว์ แต่เพื่อประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

'ริชาร์ด แบรนสัน' ลั่น จะเป็นคนแรกที่ขึ้นไปกับยานอวกาศ เวอร์จิน

‘เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน’ ประกาศ จะขอเป็น คนแรกที่ขึ้นยานท่องเที่ยวอวกาศของเวอร์จิน กาแล็กติค เพื่อไปยังริมขอบอวกาศ หลังเพิ่งเกิดอุบัติเหตุช็อกโลก ‘ยานสเปซชิป ทู’ ของ บ.เวอร์จินโหม่งโลก ระหว่างทดสอบการบิน ไม่กี่วันก่อน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน ผู้ก่อตั้งเวอร์จิน กรุ๊ป กล่าวกับ ป็อปปี้ ฮาร์โลว์ ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นว่า เขาจะยังคงเป็นคนแรกที่เดินทางไปท่องเที่ยวกับยานอวกาศของบริษัทเวอร์จิน กาแล็กติค เพียงวัน 3 หลังจาก ‘ยานสเปซชิป ทู’ ยานท่องเที่ยวอวกาศเชิงพาณิชย์ ลำแรกของโลก ประสบเหตุเครื่องยนต์ขัดข้อง ระหว่างทดสอบการบิน จนตกในทะเลทรายโมฮาวี รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้นักบินเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย

เศษซากยานสเปซชิป ทู ที่ตกกระจายในทะเลทราย

‘แน่นอนว่า ผมจะเป็นคนแรกที่ขึ้นไปท่องเที่ยวกับยานอวกาศ เพื่อไปจนถึงริมขอบอวกาศ’ เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน กล่าวกับฮาร์โลว์ ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็น พร้อมกับบอกว่า ไม่มีทางที่เขาจะขอให้คนอื่นขึ้นไปยานท่องเที่ยวอวกาศของเวอร์จิน กาแล็กติค ถ้าหากเขาไม่ขึ้นไปด้วยตนเองเป็นคนแรก และถ้าตัวเขาเองไม่รู้สึกว่ามีความปลอดภัยเพียงพอแล้ว ก็จะไม่บอกให้คนอื่นๆ ขึ้นไปเด็ดขาด

ยานสเปซชิป ทู ถูกนำออกอวดโฉมเมื่อเม.ย.ปีที่แล้ว

นอกจากนั้น เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน ยังกล่าวด้วยว่า บริษัทเวอร์จิน กาแล็กติค และบริษัท สเกลด์ คอมโพสิต บริษัทหุ้นส่วนที่ทำหน้าที่ออกแบบและสร้างยานสเปซชิป ทู จะสร้างยานอวกาศลำใหม่ในเร็ววันนี้ โดยพวกตนจะยังคงมุ่งมั่นในการพาผู้คนขึ้นไปท่องอวกาศต่อไป และเชื่อว่า จะต้องประสบความสำเร็จ