ใครที่ชอบกินแซนด์วิชในคาเฟ่ฮิปๆ หรือกินซูซิในร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่น น่าจะเห็นผลไม้หั่นเป็นชิ้นสีเขียวอมเหลือง เนื้อนิ่ม ครีมมัน รสจืดๆ ที่ใช้เป็นส่วนผสม ไม่มีรสแต่พอเคี้ยวรวมกับขนมปังหรือข้าวแล้วจะได้รสมันๆ ที่ทำให้อร่อยขึ้น รสชาติเหล่านี้นี่แหละเป็นลักษณะเด่นของอะโวคาโด ผลไม้พื้นเมืองของเม็กซิโก
ชาวเม็กซิกันมักใช้เนื้ออะโวคาโดปรุงอาหารแทนเนย และบ้านเราบางคนก็เรียกว่า “ลูกเนย” เนื้อครีมมันสีเขียวอมเหลืองของอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอีที่มีอยู่มาก วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินซี และยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและโฟเลต วิตามินอีและวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้ได้รับอันตรายจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็งบางชนิดได้ ส่วนโพแทสเซียมจะช่วยควบคุมความดันโลหิตทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติและรักษาสุขภาพของระบบประสาท ส่วนวิตามินบี 6 ช่วยควบคุมการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ
กรดไขมันในอะโวคาโดเป็นไขมันชนิดเดียวกับน้ำมันมะกอก คือเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวแบบตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ และอาจช่วยลดไขมันร้าย (LDL) ส่วนคนที่ควบคุมน้ำหนักต้องระวังอย่ากินมาก เพราะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง อะโวคาโดเพียงครึ่งผลให้พลังงานถึง 190 – 238 กิโลแคลอรี และยังจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีโปรตีนมากที่สุดด้วย
ไขมันช่วยเสริมความงาม
เนื้ออะโวคาโดมีไขมันชนิดดีที่เหมือนกับน้ำมันมะกอก ไขมันนี้ยังเปี่ยมไปด้วยวิตามินอีที่ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ และยังช่วยให้ผมดำมันเป็นเงา ผู้หญิงในอเมริกาใต้และเม็กซิโกต่างก็ใช้อะโวคาโดบำรุงเส้นผมและผิวพรรณมานานนับพันปีแล้ว โดยเฉพาะใครที่มีผิวแห้ง ให้นำอะโวคาโดมาผสมกับกล้วยหอมสุกหรือไข่แดงและน้ำผึ้ง ในอัตราส่วน 1:1:1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาทีจึงล้างออก ผิวคุณจะชุ่มชื่นขึ้น
เพราะว่าไขมันในอะโวคาโดที่มีมากนี่เอง จึงมีการสกัดเป็นน้ำมันอะโวคาโดเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง และยังนำมาทำสบู่ ยาสระผม ครีมทางผิว เพราะจะดูดซึมได้ง่าย น้ำมันชนิดนี้มีสีเขียวเข้ม ใส เนื้อหนักหนืดและมีกลิ่นหอมของอะโวคาโดชัดเจน
เลือกกินอย่างไรให้อร่อย
อะโวคาโดเป็นผลไม้ยืนต้นที่ต้นสูงมาก ความสูงประมาณ 18 เมตร และมีต้นกำเนิดที่เม็กซิโก ว่ากันว่าชาวสเปนรู้จักมานานกว่า 500 ปี แล้ว แต่ไม่มีใครสนใจเพราะเป็นผลไม้รสจืด ผู้คนโดยเฉพาะคนอเมริกันเพิ่งเริ่มหันมาสนใจกินอะโวคาโดเมื่อศตวรรษที่ 20 นี่เอง ปัจจุบันปลูกได้ทั้งที่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือแม้แต่ในบ้านเรา โดยแรกเริ่มเดิมทีมิชชันนารีนำมาปลูกที่จังหวัดน่าน ต่อมมาก็แพร่หลายมากขึ้น จนเมื่อเป็นผลไม้ที่โครงการหลวงสนับสนุนและปลูกได้ทั่วไปในเชียงใหม่และเชียงราย บ้านเราจึงเริ่มนิยมกินกันมากขึ้น
ผลอะโวคาโดมีทั้งทรงกลม ทรงรีก้นป้านเหมือนลูกแพร์ บางพันธุ์ลูกเล็กเหมือนไข่ไก่บางพันธุ์ลูกใหญ่ยักษ์หนักเป็นกิโล โดยทั่วไปจะเปลือกหนา สีเขียว ผิวขรุขระหรือเรียบ บางพันธุ์มีสีเขียวแก่ สีแดงเลือดหมู สีเหลือง หรือแม้แต่สีดำ อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ต้องกินเมื่อสุกแล้วเท่านั้น ถ้าดิบจะมีรสฝาดและมีพิษ ที่น่าแปลกคือ เป็นผลไม้ที่ไม่สุกที่ต้น ต้องตัดมาแล้วเก็บไว้จึงจะสุก และต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง เมื่อสุกแล้วจึงเก็บไว้ในตู้เย็น
ตอนที่เก็บมาจากต้น เปลือกจะมีสีเขียวเข้ม พอเริ่มสุกจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเขียว ถ้าสุกมากก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และเมื่อบีบเบาๆ จะรู้สึกว่าเนื้อนิ่ม วิธีผ่าต้องใช้มีดผ่ากลางลูกให้รอบจนสามารถใช้มือแยกได้ เม็ดอะโวคาโดจะใหญ่มาก ถ้าสุกกำลังพอดี เนื้อจะเป็นสีเขียวอมเหลือง นุ่มมันน่ารับประทาน แต่ถ้าสุกเกินไป เนื้อจะเละและเป็นจุดสีน้ำตาล เพราะฉะนั้นควรกินตอนที่สุกกำลังพอดีจึงจะอร่อย และเมื่อปอกไว้สักพัก เนื้อก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดูไม่น่ากิน เคล็ดลับที่จะช่วยได้คือ เมื่อหั่นเนื้อใส่ชามแล้วให้วางเม็ดไว้ใต้เนื้อก็จะช่วยให้ยังเขียวอยู่ ซึ่งค่อนข้างแปลกแต่จริง
คนที่กินอะโวคาโดมากที่สุดคือพวกเม็กซิกัน โดยนำมาทำอาหารที่เรียกว่า ซัลซา วิธีทำคือนำเนื้ออะโวคาโดสุกๆ มาบี้ให้ละเอียด ใส่หอมหัวใหญ่สับ น้ำมะนาว พริก แล้วคลุกให้เข้ากัน แล้วกินกับนาโช (แผ่นแป้งของเม็กซิกันซึ่งคล้ายกับข้าวเกรียบบ้านเรา) เป็นของกินเล่น หรือใส่ในอาหารได้ทุกชนิด เช่น ใส่ไส้ในแผ่นแป้งทาโกรวมกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น เนื้อบด ถั่วแดงบดและชีส เป็นต้น
ในฟิลิปปินส์ บราซิล อินโดนีเซีย เวียดนามและอินเดียใต้ นิยมกินอะโวคาโดกับนมปั่นหรือไอศกรีม โดยการเติมน้ำตาล นมหรือน้ำ บางครั้งราดด้วยช็อกโกแลต แต่ด้วยเนื้อที่มีความมัน รสจืด และยังมีวิตามินมากมาย คนอเมริกันและออสเตรเลียจึงนิยมนำมาใส่แซนด์วิชกินกับผักและเนื้อสัตว์ เพราะจะช่วยให้เคี้ยวแล้วไม่แห้งจนเกินไป ทำสลัดหรือคานาเปเพียงหั่นเป็นชิ้นบางๆ กินกับกุ้งลวก และน้ำสลัดเทาส์ซันไอส์แลนด์ ซึ่งจะเข้ากันมาก หรือแม้แต่หั่นใส่รวมไปในสลัดแบบใดก็ได้ที่คุณชอบ แต่น้ำสลัดที่เข้ากันมักจะเป็นน้ำสลัดน้ำข้นที่มีส่วนผสมของครีมหรือชีส
ปัจจุบันอะโวคาโดถูกนำมาดัดแปลงสร้างสรรค์ต่างๆ เป็นอาหารฟิวชั่น โดยเฉพาะใส่ในซูซิข้าวญี่ปุ่นรวมกับกุ้งลวก ปลาไหล คลุกกับไข่กุ้ง เป็นต้น ซึ่งนิยมกันมากในอเมริกา ญี่ปุ่นและบ้านเรา
สำหรับบางคนที่นิยมรสธรรมชาติ ยืนยันว่าแค่ผ่าแล้วตักกินก้อร่อยแล้ว (แต่ต้องสุกพอดี) หรือแม้แต่วางบนขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้าแค่นี้ก็อร่อยและมีวิตามินเปี่ยมล้น
แนะนำเมนูอร่อย แซนด์วิชอะโวคาโด
ส่วนผสม ขนมปังแซนด์วิชหั้นหนา 2 แผ่น อะโวคาโดหั่นเป็นชิ้น 1/2 ผล ผักสลัดใบเขียวตามชอบ มะเขือเทศหั่นบาง กุ้งลวกหรือแฮมหั่นบาง น้ำสลัดเทาส์ชันไอส์แลนด์หรือน้ำสลัดครีมชนิดอื่นๆ ที่คุณชอบ
วิธีทำ ปิ้งขนมปังแล้วทาเนยให้ทั่ว วางผัก เนื้อสัตว์ และอะโวคาโดที่หั่นไว้ ราดด้วยน้ำสลัด รับประทานได้ทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น