วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558
นาซาค้นพบครั้งใหญ่! ยังมีน้ำไหลบนดาวอังคาร
ภาพจากนาซาแสดงร่องรอยมีน้ำไหลบนดาวอังคารในปัจจุบัน (NASA/JPL/University of Arizona)
นาซาประกาศการค้นพบครั้งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ หลักฐานจากยานอวกาศที่โคจรรอบดาวอังคารยืนยันยังคงมีน้ำไหลอยู่บนดาวอังคารอยู่ในปัจจุบัน และอาจน้ำไปสู่การค้นพบสิ่งมีชีวิตบนดาวแดงเพื่อนบ้านของโลก
องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) แถลงการค้นพบครั้งสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์จากสำนักงานใหญ่ในวอชิงตัน สหรัฐฯ เมื่อเวลา 22.30 น.วันที่ 28 ก.ย.2015 ตามเวลาประเทศไทยว่า พบหลักฐานจากยานมาร์สเรคองเนซองส์ออร์บิเตอร์ (Mars Reconnaissance Orbiter) หรือเอ็มอาร์โอ (MRO) ที่นาซาส่งไปโคจรรอบดาวอังคาร ซึ่งยืนยันหนักแน่นว่ายังคงมีน้ำไหลอยู่บนดาวอังคารในปัจจุบัน
ทางด้านรอยเตอร์รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ภาพจากยานอวกาศดังกล่าว และพบมีน้ำที่มีเกลือไหลบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อหน้าร้อนปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ดาวเคราะห์เพื่อนบ้านจะเป็นแหล่งให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ และได้เผยแพร่การค้นพบนี้ลงวารสารวิชาการในวันเดียวกับการแถลงข่าว
ขณะที่ข่าวเผยแพร่จากนาซาระบุว่า นักวิจัยได้ใช้ภาพที่บันทึกด้วยกล้องบนยานเอ็มอาร์โอตรวจพบสัญญาณเกลือแร่ที่มีโมเลกุลน้ำบริเวณที่ลาดชัน ซึ่งปรากฏเป็นริ้วปริศนาบนดาวอังคาร โดยริ้วมืดจากภาพนั้นปรากฏให้เห็นว่าลดลงและไหลเป็นสายตลอดเวลา
ระหว่างฤดูร้อนริ้วดังกล่าวยิ่งดำขึ้นและไหลลงทางลาดชัน และในช่วงฤดูหนาวริ้วดังกล่าวมีสีจางลง ริ้วเหล่านี้ปรากฏในหลายพื้นที่บนดาวอังคาร เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า -23 องศาเซลเซียส และหายไปเมื่ออุณหภูมิเย็นลง
"ภารกิจของบนเราดาวอังคารคือตามหาน้ำเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตในเอกภพ และตอนนี้เราก็มีหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่เราสงสัยนั้นได้คำตอบแล้ว นี่เป็นก้าวที่สำคัญ เมื่อปรากฏชัดเจนว่าน้ำ แม้จะเป็นน้ำเกลือก็ตาม กำลังไหลอยู่บนพื้นผิวดาวอังคารทุกวันนี้" จอห์น กรันฟิล์ด (John Grunsfeld) ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกอำนวยการปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของนาซากล่าวระหว่างแถลงข่าว
สายธารเชิงเขาเหล่านี้มีชื่อว่าเส้นลาดชันอาร์เอสแอล (recurring slope lineae: RSL) ซึ่งมักถูกระบุว่า มีโอกาสที่จะเป็นน้ำของเหลว ซึ่งการค้นพบเกลือมีน้ำบนพื้นที่ลาดชันชี้ถึงสิ่งที่อาจสัมพันธ์ต่อริ้วสีดำ โดยเกลือมีน้ำอาจจะลดจุดเยือกแข็งของน้ำเกลือเหมือนเกลือบนโลกที่ช่วยละลายหิมะและน้ำแข็งบนถนนได้เร็วขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เหมือนกระแสใต้พื้นผิวตื้นๆ ที่มีน้ำมากพอจะซึมสู่พื้นผิว ทำให้เกิดเป็นริ้วสีดำในภาพ
รอยเตอร์รายงานอีกว่า แม้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแหล่งกำเนิดและองค์ประกอบทางเคมีของน้ำดังกล่าว แต่การค้นพบค้นพบนี้จะเปลี่ยนความคิดของนักวิทยาศาสตร์ว่าดาวเคราะห์เพื่อนบ้านนี้เหมือนดาวเคราะห์โลกในระบบสุริยะที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ใต้เปลือกโลก
"มันบ่งบอกว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารในทุกวันนี้" กรันฟิล์ดให้ความเห็น ส่วน จิม กรีน (Jim Green) ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ของนาซา กล่าวว่า ดาวอังคารไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่แห้งแล้งและไม่น่าสนใจอย่างที่เราคิดกันที่ผ่านมา ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มั่นคง น้ำของเหลวได้ถูกค้นพบบนดาวอังคาร
ทว่านาซาก็ไม่รีบร้อนที่ค้นหาว่าน้ำเกลือที่เพิ่งค้นพบนั้นมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หรือไม่ โดยกรันฟิล์ดให้ความเห็นว่าถ้าเขาเป็นจุลินทรีย์ก็คงไม่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ค้นพบ แต่จะอาศัยอยู่ทางเหนือหรือใต้มากกว่าบริเวณที่พบน้ำเกลือ และจะอยู่ให้ลึกลงไปใต้พื้นผิวมากๆ ซึ่งจะพบน้ำจืดได้มากกว่า
"เราแค่สงสัยว่าแหล่งอาศัยแบบนั้นมีอยู่ และเราก็มีหลักฐานบางประการว่ามีแหล่งแบบนั้น" กรันฟิล์ดกล่าว
การค้นพบน้ำไหลนี้เกิดขึ้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์พัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อวิเคราะห์และทำแผนที่องค์ประกอบเคมีบนดาวอังคารโดยใช้ยานเอ็มอาร์โอของนาซา และได้พบลักษณะสำคัญของเกลือที่เกิดขึ้นเฉพาะในน้ำที่มีอยู่ตอนนี้ในช่องแคบๆ ที่ตัดผ่านหน้าผาบริเวณเส้นศูนย์ของดาวอังคาร
สำหรับพื้นที่ลาดชันดังกล่าวถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 2011 ปรากฏระหว่างเดือนในหน้าร้อนของดาวอังคาร แล้วหายไปเมื่ออุณหภูมิต่ำลง และคุณลักษณะทางเคมีบ่งบอกถึงเกลือที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าริ้วดังกล่าวเกิดจากการตัดผ่านของน้ำ แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถวัดได้อย่างแน่ชัด
"ตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะมีหวัง" ลุเชนทรา โอชา (Lujendra Ojha) นักศึกษาปริญญาโทสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย (Georgia Institute of Technology) และนักวิจัยหลักผู้เขียนรายงานการค้นพบดังกล่าวบอกแก่รอยเตอร์
ทั้งนี้ เนื่องจากยานเอ็มอาร์โอได้วัดข้อมูลระหว่างช่วงร้อนที่สุดของวันบนดาวอังคาร นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าร่องรอยใดๆ ของน้ำ หรือคุณลักษณะจากเกลือแร่มีน้ำจะระเหยไป อีกทั้ง เครื่องมือวัดองค์ประกอบเคมีบนยานโคจรยังไม่สามารถเก็บรายละเอียดของริ้วแคบๆ ที่กว้างไม่ถึง 5 เมตรได้
ทว่าโอชาและคณะได้สร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถตรวจสอบแต่ละพิกเซลหรือหน่วยภาพได้อย่างละเอียด จากนั้นใช้ข้อมูลดังกล่าวสร้างภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้น และเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้พุ่งความสนใจไปที่ริ้วที่กว้างที่สุด ที่ตรงกับตำแหน่งและการตรวจพบเหลือมีน้ำ 100%
"การค้นพบนี้ยืนยันว่าน้ำกำลังแสดงบทบาทต่อลักษณะเหล่านี้" อัลเฟร็ด แม็คอีเวน (Alfred McEwen) นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) กล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าเกลือแร่เหล่านั้นดูดซับไอน้ำโดยตรงจากชั้นบรรยากาศบางเบาของดาวอังคาร หรือมีแหล่งน้ำแข็งละลายอยู่ใต้ดิน แต่ไม่ว่าแหล่งน้ำจะมาจากที่ใด รอยเตอร์ระบุว่ามุมมองต่อดาวอังคารก็เปลี่ยนไปเป็นบวกมากขึ้น จากที่เคยมองกันว่าดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่หนาวเย็นและแห้งกรัง กลับกลายเป็นดาวเคราะห์ที่ปัจจุบันสิ่งมีชีวิตอาจอาศัยอยู่ได้
ถึงอย่างนั้นแมคอีเวนกล่าวว่ายังต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบเคมีมากกว่านี้ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะสรุปเช่นนั้นได้ โดยระบุว่าไม่ใช่เพราะมีน้ำเท่านั้นที่บ่งบอกว่าดาวเคราะห์นั้นสามารถอาศัยอยู่ได้ อย่างน้อยต้องมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนดิน
ขณะเดียวกันคิวริออซิตี (Curiosity) ยานโรเวอร์ของนาซาที่กำลังวิ่งสำรวจบนพื้นผิวดาวอังคาร ก็พบหลักฐานว่าดาวอังคารมีองค์ประกอบและแหล่งอาศัยเหมาะสมสำหรับจุลินทรีย์ที่มีอยู่ได้ในอดีตบางช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่าดาวอังคารเปลี่ยนจากดาวที่อบอุ่น มีน้ำอุดมและคล้ายคลึงกับโลกมาเป็นดาวที่หนาวเหน็บและแห้งแล้งเหมือนทะเลทรายในทุกวันนี้ได้อย่างไร โดยเมื่อหลายพันล้านปีก่อนดาวอังคารที่ขาดสนามแม่เหล็กปกป้อง ได้สูญเสียชั้นบรรยากาศปริมาณมหาศาลไป และมีหลายการศึกษาที่กำลังประเมินว่าน้ำบนดาวอังคารหายไปมากแค่ไหน และยังเหลืออีกเท่าไรในแหล่งน้ำแข็งใต้ดิน
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558
Roland-Garros
การแข่งขันเทนนิสเฟรนช์โอเพ่น หรือในชื่ออย่างเป็นทางการว่า โรลังด์ การ์รอส (ฝรั่งเศส: Tournoi de Roland-Garros, อังกฤษ: Roland Garros Tournament) เป็นการแข่งขันเทนนิสที่จัดการแข่งขันขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี ที่สนามโรลังด์ การ์รอส กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
เฟนช์โอเพนเริ่มจัดการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1891 โดยมีแชมป์คนแรกในประเภทชายเดี่ยวคือ Henry Briggs ชาวฝรั่งเศส ส่วนในประเภทหญิงเดี่ยว เริ่มมีการจัดการแข่งขันครั้งแรกขึ้นในปี ค.ศ.1897 โดยมีแชมป์คนแรกคือ Adine Masson ชาวฝรั่งเศส
เฟรนช์โอเพน หรือ โรลังด์ การ์รอส เป็นการแข่งขันแกรนด์สแลมรายการที่สองของปี ถัดจากออสเตรเลียนโอเพน และเป็นการแข่งขันแกรนด์สแลมรายการเดียวที่แข่งบนคอร์ทดิน ด้วยลักษณะพื้นฐานของคอร์ทดินที่แตกต่างไปจากประเภทอื่น ทั้งความเร็วและการกระดอนของลูก ทักษะการเคลื่อนไหวของนักเทนนิสบนผิวคอร์ทดินจึงแตกต่าง ทำให้เฟรนช์โอเพน มักเป็นรายการที่ขัดขวางนักเทนนิสหลายคน เช่น พีท แซมพราส จิมมี คอนเนอร์ มาร์ตินา ฮินกิส และรวมไปถึง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในการเป็นผู้ชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมครบทั้งสี่รายการ หลังจากก่อนหน้านี้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศมาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน (2006, 2007, 2008) แล้วแพ้ให้กับ ราฟาเอล นาดาล ทั้ง 3 ปีที่เข้าชิงชนะเลิศ ได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ ไม่เคยได้ตำแหน่งแชมป์เฟรนช์โอเพนเลย
จนกระทั่งปี ค.ศ.2009 โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน (2006, 2007, 2008, 2009) จึงคว้าแชมป์เฟรนช์โอเพนได้สำเร็จ เมื่อ ราฟาเอล นาดาล ไปพลาดท่าตกรอบ 16 คนสุดท้าย โดยแพ้ให้กับ โรบิน โซเดอลิง 1-3 เซต 2-6, 7-6(2), 4-6, 6-7(2) ทำให้ในรอบชิงชนะเลิศ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ชนะ โรบิน โซเดอลิง 3-0 เซตรวด 6-1, 7-6(1), 6-4 คว้าแชมป์เฟรนช์โอเพ่นมาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และเป็นผู้ชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมครบทั้งสี่รายการเป็นคนที่ 6 ต่อจาก อังเดร แอกอัซซี
ผู้ครองตำแหน่งชนะเลิศคนปัจจุบันในประเภทชายเดี่ยวคือ ราฟาเอล นาดาล ส่วนประเภทหญิงเดี่ยวคือ มาเรีย ชาราโปวา
สนาม Roland-Garros
ตั้งอยู่ ณ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 โดยเริ่มแรกใช้เพื่อจัดการแข่งขันทีมชายชิงแชมป์โลก เดวิส คัพ ก่อน ก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็นเฟรนซ์ โอเพ่น ในภายหลัง โดยที่ชื่อโรลังด์ การ์รอส นั้นเป็นชื่อนักบินชาวฝรั่งเศสที่เป็นคนแรกของโลกที่บินข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้สำเร็จ
โรลังด์ การ์รอส ประกอบด้วย 2 คอร์ตใหญ่ คอร์ตที่ใหญ่ที่สุด คือ ฟิลิปเป ชาติเยร์ ความจุ 15,156 คน โดยตั้งชื่อตามประธานสหพันธ์เทนนิสฝรั่งเศส ส่วนอีกคอร์ต คือ ซูซานน์ ลองลอง ความจุ 10,068 คน ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1994 ตั้งชื่อตามนักเทนนิสหญิงชาวฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1997
นอกจากนี้แล้วยังยังมีคอร์ตขนาดกลาง ได้แก่ คอร์ตหมายเลข 1 รวมทั้งคอร์ตขนาดเล็กอีก 18 คอร์ต นอกจากนี้แล้วภายในบริเวณสนามโรลังด์ การ์รอส ยังประกอบไปผู้ให้บริการด้านต่าง ๆ เช่น ร้านอาหาร ธนาคาร ตลอดจนที่ทำการไปรษณีย์
- Rafael Nadal Parera
- Maria Yuryevna Sharápova
- Roger Federer
- Serena Jameka Williams
8 กีฬาช่วยเพิ่มความสูง
ยุดนี้ความสูงเป็นหนึ่งในลักษณะทางกายภาพที่หลายคนต้องการไม่แพ้รูปร่างหน้าตา หรือ บุคลิกภาพ ด้านอื่นๆ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสูงมีมากครับ และหนึ่งในนั้นก็คือ การออกกำลังกาย เพราะจะทำให้เกิดการยึดขยายแนวกระดูกออกในแนวตั้ง และช่วยกระตุ้นการหลั่งของ Human Growth Hormone (hGH) จากต่อมใต้สมอง และฮอร์โมน Insulin-like Growth Factor จากตับ ชนิดกีฬาที่ช่วยเพิ่มความสูงให้กับวัยรุ่นมีดังนี้
แทรมโปลีน
เป็นอุปกรณ์สำหรับการฝึกกระโดนขึ้น-ลงตัวอุปกรณ์มีลักษณะเป็นเส้นใยที่ทอเป็นพิเศษ แล้วยึดติดกับฐานของอุปกรณ์อย่างแข็งแรงทุกด้านเพื่อรองรับแรงจากการกระโดด ของผู้เล่น การกระโดดบนแทรมโปลีนจะช่วยให้เกิดการยึดของกล้ามเนื้อและกระดูกในแนวตั้ง โดยเฉพาะช่วงขาอย่างแท้จริงแนะนำให้กระโดด 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 20-30 นาที
กระโดดเชือก
เป็นการออกกำลัง การแบบคาร์ดิโอที่ส่งผลดีต่อการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโตและยัง สามารถช่วยกระตุ้นความสูงผ่านแรงกระแทกที่ส่งมาจากฝ่าเท้าโดยตรง
โหนบาร์
โดดเด่นตรงที่ทำให้กระดูกสันหลังตรงและสามารถยืดยาวออกไป จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุยังน้อยเพราะทำได้ง่ายและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
โยคะ
โยคะ แต่ละท่าย่อมส่งผลต่อกระดูกและกล้ามเนื้อที่แตกต่างกันออกไป เช่น ท่ายืดขา ก็จะช่วยยืดกล้ามเนื้อที่ขาทั้งสอง หรือท่างูจงอาง ที่ช่วยยกลำตัวขึ้นจากพื้น โดยคุณต้องนอนคว่ำให้ลำตัวและหน้าอกขนานแตะพื้น จากนั้นใช้แขนสองข้างยันพื้นพร้อมยกเฉพาะลำตัวขึ้นค้างไว้ ท่านี้จะช่วยยืดกล้ามเนื้อลำตัวช่วงบน
ว่ายน้ำ
โดย เฉพาะท่าฟรีสไตล์จะคล้ายๆ กับการยืดกล้ามเนื้อบริเวณลำตัว คล้ายการเล่นโยคะท่างูแต่ความต่างก็คือการว่ายน้ำจะทำให้แทบทุกส่วนของร่าง กายได้ออกกำลังไปพร้อมกัน
บาสเกตบอล
เป็น กีฬาอีกชนิดที่มีการผสมผสานระหว่างการวิ่งก้าวกระโดด และยืดกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นผลดีต่อการกระตุ้นความสูง แต่อย่างไรก็ตามกีฬาประเภทนี้อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่ายจึงควรเล่นด้วย ความระมัดระวัง
พิลาทีส
เป็นการออกำลัง กายที่ช่วยเพิ่มความยาวของร่างกายทั้งช่วยบนและล่าง สำหรับผู้ที่หยุดสูงแล้ว พิลาทีสอาจจะช่วยยืดกระดูกเฉพาะช่วงบนเท่านั้น สำหรับช่วงล่างอาจจะต้องใช้วิธียืดกระดูกอื่นๆ ร่วมด้วย
คิกบ็อกซิ่ง
รวม ถึงกีฬาประเภทต่อสู้อื่นๆ มักจะช่วยยืดกระดูกช่วยแขน/ขา หากเล่นเป็นประจำจึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นนักกีฬาประเภทนี้มีแขน/ขา ยาวกว่าช่วงลำตัว
Yogurt
หากเราเดินเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตจะเห็นตู้แช่เย็นที่มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของโยเกิร์ตมากมายหลายยี่ห้อและหลากหลายรูปแบบ คนไทยเรานิยมกินโยเกิร์ตเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากกระแสสุขภาพ แต่มีใครบ้างที่รู้เรื่องว่าโยเกิร์ตคืออะไรและแต่ละประเภทให้ประโยชน์อย่างไร
โยเกิร์ตคืออะไร?
โยเกิร์ต (Yogurt) คือผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำมาจากนม โดยเติมจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งก็คือเชื้อแบคทีเรียชนิดต่างๆ ลงไปหมักในนม กระบวนการหมักนี้เป็นกระบวนการทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคและเติมจุลินทรีย์ที่ดีต่อร่างกายลงไปแทน นมที่ได้จะมีค่าความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้นและเปลี่ยนน้ำตาลในนม (แล็กเทส) เป็นกรดแล็กติก ซึ่งจะทำให้นมเปลี่ยนสภาพเป็นครีมข้นและรสฝาดขึ้น รสชาติและรสสัมผัสของโยเกิร์ตแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับแบคทีเรียที่เติมลงไปและประเภทของนมที่นำมาทำโยเกิร์ต
เหตุใดโยเกิร์ตจึงดีต่อสุขภาพ?
โยเกิร์ตประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิดที่ร่างกายต้องการและเป็นประโยชน์ เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม วิตามินเอ วิตามินอี โปรตีน แคลเซียมในโยเกิร์ตช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง โพแทสเซียมช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ง่ายขึ้นและทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายดีขึ้น วิตามินเอช่วยเรื่องการมองเห็นและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โปรตีนในโยเกิร์ตจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
จุลินทรีย์ในโยเกิร์ต
ในโยเกิร์ตมีจุลินทรีย์หลัก 2 ชนิด คือ Streptococcus thermophiles และ Lactobacillus bulgaricus อีกทั้งในปัจจุบันยังเติมแบคทีเรีย Bifido และ Lactobacillus casei ซึ่งจากการศึกษาพบว่าแบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นเมื่อบริโภคเป็นประจำ
ไขมันในโยเกิร์ต
โยเกิร์ตทำมาจากนม ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะทำมาจากนมประเภทใด อาจเป็นนมธรรมชาติที่มีไขมันปกติ นมไขมันต่ำหรือนมปราศจากไขมันนมโดยธรรมชาติมีปริมาณไขมันอยู่ที่ 3.5 % ส่วนนมไขมันต่ำจะมีไขมันอยู่ 2 % และนมปราศจากไขมันมีไขมันที่ต่ำกว่า 0.5 % สำหรับคนที่มีปัญหาของไขมันควรเลือกโยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำ
แล็กโทสในโยเกิร์ต
หลายคนที่ร่างกายไม่สามารถดื่มนม ซึ่งมีน้ำตาลแล็กโทสได้ เนื่องจากขาดน้ำตาลแล็กเตส ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ลมขึ้น อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเสีย แต่จุลินทรีย์ในโยเกิร์ตจะย่อยน้ำตาลแล็กโทสไปบางส่วนทำให้สามารถดื่มได้ และมีอาการแพ้น้อยลงหรือไม่มีอาการเลย
รสชาติของโยเกิร์ต
โดยปกติแล้วโยเกิร์ตรสธรรมชาติมีรสออกเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย เพราะแม้จะไม่ได้เติมน้ำตาลเลย แต่ในโยเกิร์ตมีน้ำตาลเลย แต่ในโยเกิร์ตมีน้ำตาลแล็กโทสตามธรรมชาติอยู่แล้ว ในทางอุตสาหกรรมยังเอาใจผู้บริโภค โดยการเติมแต่งกลิ่นและรสชาติให้ถูกใจผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น
รสชาติที่ได้รับความนิยม เช่น รสสตรอเบอร์รี บลูเบอร์รี พีช วานิลลา บางครั้งอาจเติมน้ำตาลและเนื้อผลไม้ลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ การเติมน้ำตาลจะเพิ่มพลังงานของโยเกิร์ตมากขึ้น คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักจึงควรอ่านฉลากโภชนาการให้เข้าใจส่วนประกอบ ปริมาณพลังงาน ไขมันและน้ำตาลที่มีอยู่ในโยเกิร์ตก่อนเลือกซื้อ
ชนิดและประเภทของโยเกิร์ต
– โยเกิร์ตชนิดปกติ เนื้อครีมกึ่งแข็งมีหลายรสชาติ ทำจากนมทั้งชนิดไขมันปกติ ไขมันต่ำ และปราศจากไขมัน
– กรีกโยเกิร์ต ลักษณะแข็งมากกว่าโยเกิร์ตปกติ เพราะเอาความชื้นออกมีโปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตปกติถึง 2 เท่า
– โปรไบโอติกโยเกิร์ต เป็นโยเกิร์ตที่เติมจุลินทรีย์เพิ่มเข้าไป ทำให้มีส่วนช่วยในการขับถ่ายและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
– โยเกิร์ตชนิดดื่ม โยเกิร์ตที่เติมน้ำหรือของเหลวอื่นเข้าไป ซึ่งมันมีน้ำตาลมากกว่าโยเกิร์ตทั่วไป
– โยเกิร์ตที่ไม่ได้ทำมาจากนม มักทำจากนมถั่วเหลือง น้ำนมข้าว หรือกะทิ สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัติ รสชาติแตกต่างจากโยเกิร์ตทั่วไป รวมถึงกลิ่นเฉพาะที่มาจากแหล่งวัตถุดิบที่แตกต่างกัน โยเกิร์ตในกลุ่มนี้จะเติมสารอาหารเข้าไปด้วย เช่น แคลเซียม วิตามินดี เพราะในพืชมีวิตามินเหล่านี้น้อย
– คีเฟอร์ ประกอบด้วยจุลินทรีย์ 2 ชนิด ได้แก่ ยีสต์ Saccharomyces exiguous หรือ S. kefir และแบคทีเรียแล็กติก (Lactic acid bacteria) ที่อยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน (Symbiosis) กระบวนการหมักคีเฟอร์จะก่อให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อย ดังนั้นคีเฟอร์จึงมีรสชาติคล้ายโยเกิร์ต แต่มีกลิ่นแรงกว่า
ประโยชน์ของโยเกิร์ตต่อสุขภาพ
• เป็นแหล่งของโปรตีนที่มีไขมันต่ำเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์
• เป็นแหล่งที่ดีของแคลเซียม
• เชื้อแบคทีเรียแล็กโตบาซิลลัสเป็นประโยชน์ต่อลำไส้ ช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้
• ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
• ช่วยลดอาการท้องเสียในเด็กเนื่องจากจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียในโยเกิร์ตจะทำลายจุลินทรีย์ที่ไม่ดีที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย
• ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ซึ่งแบคทีเรียในโยเกิร์ตจะกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้ช่วยทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น
• ช่วยลดกลิ่นปาก
ตารางแสดงคุณค่าทางอาหารในโยเกิร์ตปกติและกรีกโยเกิร์ต
(ดัดแปลงมาจาก USDA Nutritive Value of Foods)
โยเกิร์ต
|
พลังงาน
(แคลอรี)
|
ไขมัน
(กรัม)
|
คาร์โบไฮเดรต
(กรัม)
|
โปรตีน
(กรัม)
|
แคลเซียม
(มิลลิกรัม)
|
ปกติ
| |||||
นมไขมันปกติ
|
120
|
6
|
11
|
6
|
300
|
นมไขมันต่ำ
|
100
|
2
|
11
|
8
|
300
|
นมปราศจากไขมัน
|
80
|
–
|
11
|
9
|
300
|
กรีกโยเกิร์ต
| |||||
นมไขมันปกติ
|
270
|
12
|
6
|
16
|
200
|
นมไขมันต่ำ
|
150
|
4
|
8
|
20
|
200
|
นมปราศจากไขมัน
|
100
|
–
|
7
|
8
|
200
|
(The Brothers Grim)
เทพนิยาย ต้นฉบับเจ้าหญิงดิสนีย์ ไม่ว่าจะเป็น สโนว์ไวท์, ซินเดอเรลล่า และ เจ้าหญิงนิทรา ในแบบของ 2 พี่น้องตระกูลกริมม์ (The Brothers Grim) นิทานพื้นบ้านแบบฉบับพี่น้องตระกูลกริมม์ฉบับโหด
นิทานพื้นบ้านสุดโหด ฉบับพี่น้องตระกูลกริมม์
ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งนิทานกริมม์ถูกพิมพ์ออกมาเป็นครั้งแรกนั้น เยอรมันอยู่ในยุคของ Sturm und Drang ซึ่งเป็นการปฏิวัติด้านวรรณกรรมครั้งใหญ่ ก่อให้เกิดการต่อต้านแนวคิดในแง่ปรัชญามาเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ซึ่งอยู่เหนือกว่าสติ และส่งผลให้มีการหยิบยกงานเขียนในอดีตขึ้นมากล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง
ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้สังคมหันมาจับตามองยังนิทานและตำนานอีกครั้ง มีหนังสือรวบรวมเกี่ยวกับนิทานเหล่านี้ถูกพิมพ์ออกมามากมาย หากส่วนมากก็ถูกบรรณาธิการดัดแปลงเรื่องเสียจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ด้วยเหตุนี้เอง พี่น้องกริมม์จึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนิทานเหล่านี้ และเริ่มตีพิมพ์ออกจำหน่ายฉบับพิมพ์ครั้งแรกนี้ยังมีข้อด้อยทางภาษาและมีเนื้อหาไม่เหมาะสมอยู่มาก นิทานกริมม์จึงถูกปรับปรุงและพิมพ์ใหม่ หลังจากนั้นได้มีการปรับปรุงเนื้อหาและตัดนิทานที่มีใจความไม่เหมาะสมออกไปอีกหลายครั้ง และตีพิมพท์ออกมาทำให้เรารู้จักจนถึงทุกวันนี้
หนูน้อยหมวกแดง (Little Red Riding Hood: Inter-Species Sex Play, Cannibalism)
เรื่องราวของหนู้น้อยหมวดแดงที่เพื่อนๆ นึกถึงนั้นตอนท้ายก็คงจบแบบแฮปปี้ หมาป่าตาย คุณย่าและหนูน้อยหมวกแดงรอดตาย แต่ถ้าดูจากต้นฉบับที่พี่น้องตระกูลกริมม์ นั้นได้เขียนขึ้นเพื่อนๆจะลืมเรื่องราวแบบเดิมๆ หมดแน่ๆ เพราะ ต้นฉบับหนูน้อยหมวกแดง นั้นเล่นเซ็กส์ระหว่างสัตว์ และกินเนื้อคน
เวอร์ชั่นแบบ Happy Ending
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เรื่องนี้ในฉบับภาษาเยอรมัน ถูกบอกเล่าให้แก่ พี่น้องตระกูลกริมม์ โดยคนพี่ เจค็อบ กริมม์ ฟังมาจาก Jeanette Hassenpflug (ค.ศ. 1791-1860), ส่วนคนน้อง วิลเฮล์ม กริมม์ ฟังมาจาก Marie Hassenpflug (ค. ศ. 1788-1856) พี่น้องทั้งสองได้รวมเนื้อเรื่องจากทั้งสองฉบับนั้นเป็นเรื่องเดียว จนเป็นฉบับปี ค.ศ. 1857 ที่เป็นเนื้อเรื่องที่แพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งเนื้อเรื่องค่อนข้างจะจินตนาการมากกว่าฉบับอื่น ๆ ที่ผ่านมา โดยหนูน้อยและคุณยายถูกหมาป่าจับกิน คนตัดไม้ได้มาช่วยผ่าท้องหมาป่า ช่วยหนูน้อยและคุณยายออกมาได้โดยปลอดภัยแต่อย่างใด
ต้นฉบับหนูน้อยหมวกแดง โดยพี่น้องตระกูลกริมม์
ที่มาของเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องที่เล่าปากต่อปาก แพร่หลายอยู่ในหลายประเทศในยุโรป ซึ่งคาดว่า เป็นก่อนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่เท่าที่ทราบโดยทั่วไป Le Petit Chaperon Rouge เป็นฉบับแรกสุด ที่ได้รับการตีพิมพ์จากเนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านของฝรั่งเศส โดยเนื้อเรื่องนั้น ได้ถูกพิมพ์ในหนังสือ ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวม นิทานและเรื่องเล่าต่าง ๆ พร้อมคติสอนใจ โดย ชาร์ลส แปร์โรลต์
เนื้อเรื่องของฉบับนี้จะค่อนข้างรุนแรง เพราะมีการร่วมเพศระหว่างคนกับสัตว์ โดยหนูน้อยหมวกแดงจะระบำเปลื้องผ้าให้หมาป่าที่ปลอมตัวเป็นคุณยายดู ก่อนที่หนูน้อยและคุณยายถูกหมาป่าจับกิน และตาย
Rumpelstiltskin (รัมเปลสติลล์สกิน) (Dismemberment, Dead Toddlers)
เรื่องนี้บางคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตาเท่าไหร่ แค่ทีนเอ็มไทยว่าก็คงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง
เวอร์ชั่นแบบ Happy Ending
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เจ้าของโรงสีมีลูกสาวสวยที่สามารถม้วนฟางให้เป็นทอง จนเรื่องนี้เข้าหูพระราชาโลภมากเข้า เลยจับขังหอคอยและบอกให้เธอปั่นทองให้ได้เท่านี้ถ้าทำไม่ได้เอ็งตายอย่างเขียด แต่ใครเอยจะบ้าทำได้ ในขณะที่หญิงสาวกำลังกลุ้มอยู่นั้น ก็ปรากฏร่างของคนแคระ มันเสนอแลกเปลี่ยนกับการแลกบุตรที่เธอคลอดคนแรกให้กับมัน และจะช่วยให้เด็กสาวสมปรารถนา
จนกระทั่งเด็กสาวทำสำเร็จ ได้แต่งงานกับพระราชาโลภมาก(ดีไหมนั่น) มีบุตรคนแรก และคนแคระก็มารับเด็กตามข้อตกลง แต่เด็กสาวกลับคำ คนแคระเลยเพิ่มข้อแลกเปลี่ยนเพิ่ม โดยทายชื่อเขาให้ถูก โดยมีเวลา 3 วัน (บางเล่มบอกว่าให้ทายแค่ 3 ชื่อในเวลา 3 วัน) เจ้าหญิงเดาชื่อคนแคระไปเรื่อยๆ ทั้ง 2 วันก็ไม่ถูกสักทีจนกระทั่งมีคนผ่านไปแอบได้ยินมนุษย์แคระที่ร้องเพลงบอกชื่อของตนว่าเขาชื่อ “รัมเปลสติลล์สกิน” คนผ่านมาเลยไปบอกเจ้าหญิง และสุดท้ายคนแคระเลยอดได้เด็ก
ต้นฉบับสรัมเปลสติลล์สกิน โดยพี่น้องตระกูลกริมม์
ที่มาของเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องที่เล่าปากต่อปากจนกระทั่งพี่น้องตระกูลกริมม์นำมาแต่งใหม่ ซึ่งเวอรชั่นเดิมนั้นหญิงสาวไม่สามารถหาชื่อจริงของคนแคระคนนี้ได้เลยจนสุดท้ายเธอแก้ปัญหานี้ โดยต้องเอาลูกคนอื่นสวมรอย พอคนแคระจับได้มันเลยวิ่งจับลูกคนแรกของเด็กสาว (รวมถึงเด็กสาวด้วย) กระทืบเท้าจนขาคนแคระจมพื้นดิน
จากนั้นคนแคระกระชากขาและแขนเธอและลูกจนฉีกขาด ซึ่งทหารผู้พิทักษ์ทั้งหมดต้องมาเอาคนแคระออก แต่สายไปเสียแล้วเพราะสิ่งที่เหลือจากนั้นคือซากของเด็กสาวและลูกที่ตายคาที่เหมือนก้อนเนื้อ จนมีคำถามตามมาว่าคนแคระนั้นคือซอมบี้สัตว์ประหลาดปลอมตัวหรือเปล่า
เด็กหญิงผมทอง กับหมีสามตัว จุดจบของคนไม่มีมารยาท
เวอร์ชั่นที่คุณรู้
จากนั้นฉากก็ปรากฏเจ้าของบ้านมา เป็นหมีสามตัว ซึ่งเป็น พ่อ แม่ และลูก ทั้งสามเห็นสิ่งที่ผิดปกติในบ้าน ชามข้าวต้มถูกคนกิน เก้าอี้มีคนนั่งแถมบางตัวยังหัก และเมื่อพ่อ แม่ ลูกหมี เดินไปถึงห้องนอน พ่อหมีเห็นเตียงที่นอน มีรอยยับ จึงพูดว่า “ดูซิมีใครมาแอบนอนเตียงฉันก็ไม่รู้” ลูกหมีเดินไปเตียงของตนเอง แล้วพูดว่า “ดูซิมีใครมาแอบนอนบนเตียงหนูก็ไม่รู้” ฝ่ายสาวน้อยผมทองกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง สะดุ้งตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงหมี 3 ตัวพูดกันอยู่ใกล้เตียง ก็ตกใจกลัว รีบกระโดดจากเตียง วิ่งหนีออกไปจากบ้านหมีทั้งสามโดยเร็วและนับตั้งแต่นั้นมา หนูน้อยผมทองก็ไม่กล้าเดินเข้าไปในเขตบ้าน ของหมีสามตัวนั้นอีกเลย
เวอร์ชั่นพี่น้องตระกูลกริมม์
เวอร์ชั่นเดิมหมีสามตัวไม่ได้ใจดีกับสาวน้อยผมทองหรอก ในนิทานต้นฉบับเดิมเมื่อสามหมีพบสาวน้อยผมทองบนเตียง หมีสามตัวฉีกขย่ำเธอ จนร่างเละแยกเป็นชิ้นส่วน จากนั้นก็กินเธอเป็นอาหารเย็น ส่วนฉบับเดิมที่สองเมื่อสาวน้อยผมทองลืมตาตื่นขึ้นมาและพบหมีสามตัวก็ตกใจมากเลยเลยกระโดดลงมาจากหน้าต่าง แต่รู้สึกเธอจะกระโดดผิดท่า เธอลงพื้นพลาดเลยเกิดอุบัติเหตุคอหักตายคาที่ นี่คงเป็นจุดจบที่เหมาะสมสำหรับคนแปลกที่เข้าบ้านโดยไม่รับอนุญาตแล้วมั้ง
ฮันเทลกับเกรเทล โศกนาฎกรรมที่บ้านขนม
เวอร์ชั่นพี่น้องตระกูลกริมม์
เล่ากันว่าเป็นคดีหนึ่งในสมัยก่อน ซึ่งตอนนั้นยุโรปสูตรทำขนมนั้นถือว่ามีค่ามาก และเจ้าของสูตรขนมจะไม่เปิดเผยสูตรขนมให้แก่คนภายนอกรับรู้นอกเสียจากคนในครอบครัวเดียวกันเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาที่อยากรู้สูตรขนมปังจึงส่งสองเด็กเพื่อจารชนล้วงความลับเจ้าของสูตรขนม ซึ่งส่วนมากเป็นหญิงแก่ใจดี และเมื่อเด็กสองคนถูกจับได้ หญิงแก่เลยจับเด็กมาขังและเลี้ยงดูอย่างดีโดยไม่ฆ่า อย่างไรก็ตามคนในหมู่บ้านได้ไปช่วยเหลือและฆ่าและเผาคนทำขนมปังนี้ และใช้นิทานเรื่องเล่านี้เพื่อปกปิดอาชญากรรมที่ก่อไว้
แต่กระนั้นแม้ทำเป็นนิทาน เนื้อหาต่างๆ ยังคงแฝงไปด้วยความโหดร้ายเสมอ ในเวอร์ชั่นฝรั่งเศส ในขณะที่แม่มดเผลอ เด็กสองคนได้จับแม่มดเชือดคอหอยเธออย่างรุนแรงและหลบหนีไป จบ!!
คนเป่าปี่ นี่คือบทเรียน (The Pied Piper of Hamelin)
เวอร์ชั่นที่คุณรู้
The Pied Piper of Hamelin หรือคนเป่าปี่ ปรากฏในนิทานพื้นบ้านของเยอรมันที่เล่าโดยสองพี่น้องกริมม์ เรื่องมีอยู่ว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่เมืองฮาเอลินในภาคกลางของเยอรมัน ปีคศ.1248 ได้ถูกกองทัพหนูเข้าก่อกวนโดยเดือดร้อนไปทุกบ้าน พวกมันแพร่พันธุ์เป็นจำนวนมาก แล้วกัดแทะเสบียงอาหาร อีกทั้งพวกมันยังเป็นพาหะนำโรคร้ายมาอีกด้วย แม้แต่แมวก็ยังต้องหนีเพราะหนูมีจำนวนมากมายมหาศาล ถึงขนาดจะเข้ามารุมทำร้ายแมวเสียด้วยซ้ำไป บรรดาชาวเมืองรับไม่ได้กับเหตุการณ์เหล่านี้ ต่างหาทางกันกำจัดพวกหนู โดยพากันออกเงินจนได้ก้อนหนึ่งเพื่อให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่จะมาปราบหนูเหล่านี้ได้ จากนั้นก็มีคนต่างเมืองเดินทางมาที่นี่และรับอาสากำจัดหนูให้ แต่จนบัดนี้ก็ไม่มีใครอาสามาปราบฝูงหนูเหล่านี้เลย
ในยามนี้เองก็มีชายลึกลับผู้หนึ่งพร้อมกับปี่ที่เครื่องดนตรีคู่กายของเขาปรากฏตัว เขาอาสาจะปราบหนูให้ชาวเมืองแห่งนี้ และ ชาวเมืองก็ให้คำสัญญาว่าจะให้สิ่งตอบแทนใดๆก็ได้ตามที่เขาต้องการ เมื่อ ตกลงกับชาวเมืองเรียบร้อย ชายประหลาดก็หยิบปี่ถุงออกมาและเป่าเพลงที่แปลกประหลาด พร้อมกับออกเดินไป ท่ามกลางสายตาสงสัยของชาวเมืองนั้นเอง กองทัพหนูทั้งหลายก็ออกมาจากที่ซ่อนจากบ้าน จากโบสถ์ ทุกหนทุกแห่งจนกลายเป็นขบวนแถวยาวเมื่อได้ฟังเพลงจากปี่ของเขาอย่างหลงใหล แล้วคนประหลาดคนนั้นก็เริ่มเดินตรงออกจากหมู่บ้านพร้อมกับกองทัพหนูที่วิ่งตามหลังเขา จนไปถึงแม่น้ำเวเซอร์ที่ไหลผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ ชายนักเป่าปี่ก็หยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำ ในขณะที่ฝูงหนูพากันกระโจนลงน้ำไปเรื่อยๆ จนในไม่ช้าก็ไม่มีหนูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว และทั้งหมดก็จมน้ำตายในแม่น้ำนั้นเอง ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ปลอดจากการรบกวนของหนูเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นชายประหลาดก็มาทวงรางวัลจากชาวบ้าน แต่ชาวบ้านทั้งหลายเกิดความเสียดายเงินขึ้นมา จึงไม่ยอมจ่ายค่าตอบแทนให้ พร้อมกล่าวว่า”นายไม่ได้ ทำอะไรเสียหน่อย พวกหนูกระโดดลงน้ำไปเองต่างหาก”และยังขู่จะจับขังนักเป่าปี่อีกด้วยถ้าเขา ยังมามัวตื๊ออยู่
ชายประหลาดโกรธมากเขากล่าวทิ้งท้ายว่า”พวกคุณต้องรักษาสัญญา ฉันจะเอาสิ่งสำคัญที่สุดของพวกคุณไป” แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ยังกลับหัวเราะเยาะเขาเสียอีก เขาหายตัวไปจากหมู่บ้านแห่งนั้น และวันต่อมา ชายประหลาดพร้อมปี่กลับมายังเมืองฮาเมลินอีกครั้ง เขาเริ่มเป่าปี่บทเพลงแปลกประหลาดบทใหม่บนถนน ซึ่งคราวนี้ผู้ติดตามเสียงปี่ของเขาที่ออกจากบ้านทุกหลัง กลับกลายเป็นเด็ก เด็กๆที่มีอายุมากกว่า 4 ปีต่างก็มารวมกันและเดินตามเขาไปจนในไม่ช้าเด็กชายหญิงจำนวนกว่า 130 คนต่างก็เต้นรำร้องเพลงตามทำนองของเสียงปี่ออกไปนอกเมือง และจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครพบเห็นชายประหลาดและเหล่าเด็กๆ อีกเลย
เวอร์ชั่นพี่น้องตระกูลกริมม์
มันมีบทสรุปเรื่องราวต่อจากนั้น เล่าถึงซะตากรรมของเด็กที่ชายเป่าปี่พาไป คือเวอรชั่นเดิมชายเป่าปี่พาเด็กออกนอกเมืองไปจนถึงถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อเด็กทุกคนเข้าไปในถ้ำหมดแล้ว ชายประหลาดก็ปิดปากถ้ำขังเด็กทั้งหมดไว้ข้างในจนขาดใจตายอยู่ในถ้ำ(บางแห่งกล่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีเด็กรอดตายเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น) ส่วนอีกเวอรชั่นหนึ่งบอกว่าชายเป่าปี่ได้พาเหล่าเด็กๆ ไปที่แม่น้ำสายหรนึ่งแล้วเอาพวกเด็กนั้นไปถ่วงน้ำให้ขาดใจตาย(ยกเว้นเด็กชายคนหนึ่งที่รอดชีวิต) ซึ่งเด็กสมัยใหม่ยอมรับไม่ได้กับจุดจบของเหล่าเด็กๆ ในเทพนิยายเรื่องนี้
The Brothers Grimm
พี่น้องตระกูลกริมม์ (อังกฤษ: The Brothers Grimm; เยอรมัน: Die Gebrüder Grimm) ยาค็อบ กริมม์ (ค.ศ. 1785–1863) และวิลเฮล์ม กริมม์ (ค.ศ. 1786–1859) เป็นนักวิชาการชาวเยอรมันซึ่งเป็นที่รู้จักโด่งดังจากผลงานการรวบรวมนิทานพื้นบ้านและเทพนิยาย รวมถึงผลงานเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางภาษาที่มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา นับว่าเป็นนักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคู่หนึ่งในยุโรป ซึ่งทำให้เทพนิยายมากมายแพร่หลายไปทั่วโลก เช่น รัมเพลสทิลสกิน, สโนไวท์, ราพันเซล, ซินเดอเรลล่า และ แฮนเซลกับเกรเธล
เจค็อบ
ลุดวิจ กริมม์ และ วิลเฮล์ม คาร์ล กริมม์ เกิดเมื่อวันที่
4 มกราคม ค.ศ. 1785 และ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1786 ตามลำดับ ที่เมืองฮาเนา ใกล้กับเมืองแฟรงค์เฟิร์ต แคว้นเฮสเซน
พวกเขามีพี่น้องทั้งหมด 9 คน แต่มีชีวิตรอดเติบโตมาเพียง 6 คน ชีวิตในวัยเด็กของพวกเขาอยู่ในแถบชนบทอันงดงามร่มรื่น
ครอบครัวกริมม์พำนักอยู่ใกล้คฤหาสน์ของเจ้าผู้ครองแคว้นระหว่างช่วงปี 1790-1796
เนื่องจากบิดาของพวกเขาเป็นลูกจ้างของเจ้าชายแห่งเฮสเซน
เมื่อเจค็อบซึ่งเป็นบุตรคนโตอายุได้ 11 ปี บิดาของพวกเขาคือ ฟิลิป วิลเฮล์ม ก็ถึงแก่กรรม
ครอบครัวจึงต้องย้ายไปอาศัยในบ้านเล็กๆ คับแคบในตัวเมืองสองปีต่อมา
ปู่ของพวกเขาก็เสียชีวิต
จึงคงเหลือแต่แม่เพียงคนเดียวที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพและเลี้ยงดูเด็กๆ
ยังเป็นข้อโต้แย้งอยู่ว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่พี่น้องกริมม์มักยกผู้เป็นบิดาไว้ไม่ให้มีความผิด
ขณะที่ทรราชฝ่ายหญิงมักมีบทบาทสำคัญในนิทาน เช่นแม่เลี้ยงใจร้ายและพี่สาวทั้งสองในเรื่อง ซินเดอเรลล่า แต่ผู้วิจารณ์คงจะลืมไปว่าพี่น้องกริมม์เป็นแต่เพียงผู้รวบรวมเทพนิยายเท่านั้น
ไม่ใช่คนแต่งขึ้นมา
พี่น้องกริมม์ได้รับการศึกษาจาก Friedrichs-Gymnasium
ใน Kassel และต่อมาได้เรียนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยมาร์เบิร์ก
และที่นี่ ด้วยแรงบันดาลใจจาก ฟรีดดริค ฟอน ซาวินี (Friedrich
von Savigny) ทำให้พี่น้องทั้งสองเริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต
ทั้งคู่เพิ่งมีอายุยี่สิบต้นๆ ในขณะที่เริ่มศึกษาด้านภาษาศาสตร์ และวางกฎของกริมม์ รวมถึงรวบรวมเรื่องราวเทพนิยายและเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านจากที่ต่างๆ
ซึ่งต่อมากลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงอย่างมาก
อันที่จริงผลงานรวบรวมนิทานปรัมปราเหล่านี้เป็นผลพลอยได้จากการศึกษาด้านภาษาศาสตร์ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของคนทั้งสอง
ปี ค.ศ. 1808 มีบันทึกว่าเจค็อบได้เป็นบรรณารักษ์ในราชสำนักของกษัตริย์แห่ง
Westphalia ปี ค.ศ. 1812 พี่น้องกริมม์ได้ตีพิมพ์ผลงานรวบรวมเทพนิยายของพวกเขาเป็นครั้งแรก
ชื่อว่า Tales
of Children and the Home ซึ่งพวกเขารวบรวมเรื่องราวมาจากชาวบ้านชนบท
เรื่องบางส่วนก็ขัดแย้งกับที่มาของเรื่องอื่นๆ
ที่ตีพิมพ์ในวัฒนธรรมอื่นและภาษาอื่น (เช่นงานของ ชาร์ลส์
แปร์โรลต์) พี่น้องกริมม์แบ่งงานกันทำ
เจค็อบเน้นที่งานวิจัย ส่วนวิลเฮล์มทำหน้าที่ปะติดปะต่อเรื่องราว
นำมาประพันธ์ใหม่ในรูปแบบวรรณกรรมและเขียนบรรยายในลักษณะของนิทานเด็ก
พี่น้องทั้งสองยังให้ความสนใจกับนิทานพื้นบ้านและประวัติศาสตร์กำเนิดของวรรณกรรม ปี ค.ศ. 1816 เจค็อบได้เป็นบรรณารักษ์ใน Kassel ส่วนวิลเฮล์มก็ได้งานที่นั่นเช่นกัน ระหว่าง ค.ศ. 1816 -
1818 ทั้งสองได้ตีพิมพ์ตำนานเยอรมันสองชุด
และประวัติวรรณกรรมยุคต้นอีกหนึ่งชุด
ขณะที่พี่น้องกริมม์เริ่มสนใจในภาษาเก่าแก่และความสัมพันธ์ของภาษาเหล่านั้นกับภาษาเยอรมัน เจค็อบเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์และโครงสร้างของภาษาเยอรมันอย่างละเอียด
ในเวลาต่อมา พวกเขาได้สรุปความสัมพันธ์ระหว่างคำต่างๆ และเรียกชื่อว่าเป็น กฎของกริมม์ โดยได้รวบรวมข้อมูลดิบไว้เป็นจำนวนมาก
ปี ค.ศ. 1830 ทั้งสองได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งใน Göttingen
หลังจากมีหน้าที่การงานมั่นคงในเมืองนั้น เจค็อบได้เป็นศาสตราจารย์
และเป็นหัวหน้าบรรณารักษ์ในปี ค.ศ. 1830 ส่วนวิลเฮล์มได้เป็นศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1835
ปี ค.ศ. 1837 พี่น้องกริมม์ร่วมกับศาสตราจารย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานในมหาวิทยาลัย
Göttingen อีก 5 คน ร่วมกันคัดค้านการเพิกถอนรัฐธรรมนูญแห่งรัฐฮันโนเวอร์ของกษัตริย์
เออร์เนสต์ ออกัสตัส ที่หนึ่ง กลุ่มผู้คัดค้านนี้เป็นที่รู้จักต่อมาในชื่อDie
Göttinger Sieben (The
Göttingen Seven) ทั้งหมดถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย
และมี 3 คนที่ถูกเนรเทศ
รวมถึงเจค็อบด้วย เจค็อบหนีไปอาศัยอยู่ใน Kassel ซึ่งอยู่นอกอาณาเขตของกษัตริย์เออร์เนสต์
วิลเฮล์มติดตามไปสมทบภายหลัง โดยพำนักอยู่กับลุดวิจ น้องชายของพวกเขา
ในปีต่อมาทั้งสองได้รับเชิญจากษัตริย์แห่งปรัสเซีย เชิญให้ไปพำนักอยู่ในเบอร์ลิน และทั้งสองก็ได้ย้ายไปยังเบอร์ลินนับแต่นั้น
ช่วงปลายชีวิตของพวกเขาอุทิศให้กับการจัดทำพจนานุกรมภาษาเยอรมัน
ตีพิมพ์ชุดแรกออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1854 และเป็นต้นแบบในการพัฒนาปรับปรุงเวอร์ชันต่างๆ
ต่อมา เจค็อบครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิตของเขา ส่วนวิลเฮล์มได้แต่งงานกับ เฮนเรียตเต
โดโรเธีย ไวลด์ (Henriette Dorothea Wild หรือบางแห่งเรียกว่า
Dortchen) เมื่อปี 1825 เธอเป็นบุตรีของเภสัชกรซึ่งเป็นเพื่อนกับครอบครัวกริมม์มาตั้งแต่เด็ก
ที่ซึ่งพี่น้องกริมม์ได้ฟังนิทานเรื่อง หนูน้อยหมวกแดง เป็นครั้งแรก
วิลเฮล์มมีบุตร 4 คนโดยเสียชีวิตตั้งแต่เด็กไป 1 คน
แต่พี่น้องทั้งสองก็ยังสนิทกันมากแม้หลังจากที่วิลเฮล์มแต่งงานแล้วก็ตาม
วิลเฮล์มเสียชีวิตในกรุงเบอร์ลินเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1859 เจค็อบยังคงทำงานรวบรวมพจนานุกรมและโครงการอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องต่อไปจนกระทั่งเสียชีวิตในเบอร์ลินเช่นกัน เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1863 ร่างของทั้งสองฝังไว้ที่สุสาน
St. Matthäus Kirchhof ใน
Schöneberg ในเบอร์ลิน
พี่น้องตระกูลกริมม์ได้เผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แพร่หลายกว้างขวางในเยอรมนี
และได้รับความเคารพยกย่องเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในเยอรมนี
ซึ่งต่อมาราชอาณาจักรปรัสเซียได้ก่อการปฏิวัติในช่วงปี 1848-1849
และเริ่มต้นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้น
นักเขียนที่อายุน้อยที่สุด
เราทำอะไรกันอยู่ตอนอายุ 4 ขวบ สำหรับเด็กหญิงโดโรที สเตรท (Dorothy Straight) จากวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เธอกำลังแต่งหนังสือเล่นแรกในชีวิต เพื่อตอบคำถามของคุณยายที่ว่า…โลกเราเกิดมาได้อย่างไร
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า How the World Began (แปลว่า โลกเรากำเนิดขึ้นได้อย่างไร) เนื้อหาเล่าถึงเรื่องราวการสร้างโลกโดยพระเจ้าจากมุมมองของเด็กน้อยอย่างเธอ ภาพวาดประกอบทั้งหมดในหนังสือก็เป็นฝีมือของเธอเอง โดยหนังสือทั้งเล่มเสร็จสมบูรณ์อย่างรวดเร็วในช่วงเย็นวันหนึ่งปี 1962!
เมื่อคุณแม่ตาดีเห็นแววนักเขียนในตัวลูกสาว จึงรีบส่งให้สำนักพิมพ์ และสุดท้ายก็ได้ตีพิมพ์ในเดือนสิงหา ปี 1964 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนังสือสำหรับเด็กวัยก่อนอนุบาลที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป
12 ดินแดนมหัศจรรย์จากทั่วโลกที่คุณเห็นแล้วจะต้องทึ่ง!! ตอนที่12
ครุ๊ก ฟอเรสท์ – ป่าสนโค้งงอ ประเทศโปแลนด์
ประเทศโปแลนด์ จุดมุ่งหมายของการท่องเที่ยวหลายๆอย่าง 1 ในนั้นคือ ‘ครุ๊ก ฟอเรสท์’ (Crooked Forest) ป่าสนขนาดใหญ่ในจังหวัดเวสต์พอเมอราเนีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโปแลนด์ อีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกที่นี่คือ ‘ป่าสนโค้งงอ’ ที่เรียกอย่างนี้ก็เพราะ ต้นสนที่นี่จำนวนกว่า 400 ต้น มีลักษณะประหลาด โค้งงอบริเวณโคนต้นไปทางทิศเหนือ ส่วนสาเหตุที่งอผิดรูปแบบนี้ ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นฝีมือของช่างไม้ที่ต้องการใช้ไม้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์สมัยนั้น ส่งผลให้ปัจจุบันป่าสนแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญและได้รับฟีดเบคที่ดีในหมู่ช่างภาพไปแล้วล่ะ
12 ดินแดนมหัศจรรย์จากทั่วโลกที่คุณเห็นแล้วจะต้องทึ่ง!! ตอนที่11
ป่าเปลี่ยนสี (บอร์ดแมน ทรี ฟาร์ม) – เมืองมอร์โรว์ สหรัฐอเมริกา
เริ่มต้นความมหัศจรรย์ที่แรกกันด้วย ‘ป่าเปลี่ยนสี’ หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘บอร์ดแมน ทรี ฟาร์ม’ (Boardman Tree Farm) สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองมอร์โรว์ รัฐออริกอน ทางฝั่งตะวันตกของอเมริกา จริงๆแล้วเมืองมอร์โรว์ขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องการทำป่าไม้เป็นทุนเดิม ‘บอร์ดแมน ทรี ฟาร์ม’ จึงมีเนื้อที่กว่า 25,000 เอเคอร์ ดำเนินการโดนกลุ่มกรีนวูดรีซอร์ซ ปลูกเรียงกันเป็นแถวในระยะห่างเท่าๆกัน ใช้เวลาในการปลูกนานถึง 12 ปี ก่อนถูกโค่นส่งเข้าโรงงานในขั้นตอนสุดท้าย ช่วงที่บูมมากคือช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือที่เรียกกันว่า ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ตั้งแต่เดือนกันยายน – พฤศจิกายนของทุกๆปี นักท่องเที่ยวต่างพากันมาชมความสวยงามตามธรรมชาติของที่นี่กันอย่างไม่ขาดสายเลยแหละ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)