หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

หนังสือ Twelve Years a Slave


 โดย Solomon Northup คือ วรรณกรรมที่เป็นอัตชีวประวัติของโซโลมอน นอร์ทอัพ และเป็นเรื่องเล่า (narrative) ที่โซโลมอน นอร์ทอัพเขียนถ่ายทอดจากประสบการณ์ชีวิตระหว่างที่ตกเป็นทาสนานอยู่นาน 12 ปี เมื่อหลุดพ้นพันธนาการกลับมาเป็นอีกครั้ง จึงเล่าเรื่องราวผ่านงานเขียนโดยได้รับความร่วมมือจากเดวิด วิลสัน
โซโลมอน นอร์ทอัพเป็นชนผิวดำที่เกิดเป็นอิสรชน เป็นพลเมืองของรัฐนิวยอร์ก แต่ถูกหลอกไปที่ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ถูกลักพาตัวที่นั่นและถูกนำไปขายเป็นทาส ต่อมาถูกขายทอดตลาดทาสทางใต้ของสหรัฐ โดยตกไปอยู่ในมือนายทาสในลุยเซียนาก่อนช่วงสงครามกลางเมืองของสหรัฐ โซโลมอน นอร์ทอัพบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับตลาดทาสในวอชิงตัน ดี.ซี. และ นิวออร์ลีนส์ ตลอดจนลักษณะการทำไร่ฝ้ายและไร่อ้อยในไร่ขนาดใหญ่ที่รัฐลุยเซียนา
บทประพันธ์นี้ตีพิมพ์หลังจากนวนิยายเรื่อง Uncle Tom's Cabin (1852)ของ แฮร์เรียต บีเชอร์ สโตว์ไม่นาน และขายได้ 30,000 เล่ม ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือขายดี และในช่วงศตวรรษที่ 19 นั้นก็มีการพิมพ์ต่อมาอีกหลายครั้ง ฉบับภาษาไทยแปลโดยโฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์คลาสแอคท์ เริ่มเผยแพร่ในประเทศไทยเดือนธันวาคม 2013 โดยใช้ชื่อไทยว่าฤๅสิ้นสุดมนุษยภาพ
มีการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Twelve Years a Slave จากบทประพันธ์นี้ โดยเริ่มออกฉายในสหรัฐอเมริกาแบบจำกัดจำนวนโรงภาพยนตร์ก่อน ในวันที่ 18 ตุลาคม 2013 ก่อนจะเพิ่มจำนวนโรงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้กำกับการแสดงคือสตีฟ แม็คควีน นำแสดงโดยชีวิเทล เอดจิโอฟอร์ ในบทโซโลมอน นอร์ทอัพ ทั้งหนังสือและภาพยนตร์ได้รับความสนใจอย่างสูง หนังสือฉบับอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นไปติดอันดับ 1 ในชาร์ตหนังสือขายดีที่สุด New York Times Best Seller list ช่วงปลายปี 2013 ส่วนภาพยนตร์ก็ได้รับคำวิจารณ์ดีมากและได้รับรางวัลจากหลายสถาบัน
หลังจากตีพิมพ์หลายครั้งในศตวรรษที่ 19 หนังสือเล่มนี้ห่างหายไปจากสายตาสาธารณชนเกือบร้อยปี จนกระทั่งนักประวัติศาสตร์ชาวรัฐลุยเซียนา 2 คนบังเอิญเจอหนังสือเล่มนี้อีกครั้งในโอกาสที่ต่างกัน นักประวัติศาสตร์ 2 คนดังกล่าวคือซู อีคิน (มหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเตทที่อะเล็กซานเดรีย)และโจเซฟ ล็อกส์ดอน (มหาวิทยาลัยนิวออร์ลีนส์) ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ทั้งสองได้ศึกษาวิจัยและสืบย้อนการเดินทางของโซโลมอน นอร์ทอัพ และได้ร่วมกันบรรณาธิกรณ์หนังสือเล่มนี้ ตีพิมพ์โดย LSU Press (สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยลุยเซียนา) ออกมาในรูปแบบที่เพิ่มคำอธิบายเชิงประวัติศาสตร์ลงในเชิงอรรถ




ออโรร่า (Aurora)



แสงสีเขียว แดง ที่ปรากฏบนท้องฟ้าอันมืดมิดของช่วงฤดูหนาว หากเป็นผู้คนที่ไม่เคยพบเจอกับปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบที่ว่ามาก่อนอย่างคนในแถบเอเชียอย่างบ้านเรา ก็อาจจะคิดว่านั่นเป็นเหตุการณ์ประหลาด
แต่สำหรับผู้คนที่อยู่แถบขั้วโลกเหนือ นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าแสงที่จะเกิดขึ้นบนท้องฟ้านั้นจะเปลี่ยนเป็นสีอะไรเท่านั้น 
แสงที่ว่าถูกเรียกเป็นภาษาไทยแบบตรงตัวว่า แสงเหนือ ที่มาจากภาษาอังกฤษว่า Northern Lightซึ่งเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่ารังสีออโรร่า (Aurora) แสงสีแบบเดียวกับการตรวจวัดความร้อนร่างกายด้วยรังสีออร่าที่จะแสดงผลออกเป็นสีเขียวหรือแดงตามค่าความร้อนที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น 
และปรากฏการณ์ที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นกับขั้วโลกใต้ด้วยเช่นกัน โดยเรียกตามชื่อของสถานที่เกิดว่า แสงใต้ หรือSouthern Light 
และปรากฏการณ์ที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นกับขั้วโลกใต้ด้วยเช่นกัน โดยเรียกตามชื่อของสถานที่เกิดว่า แสงใต้ หรือSouthern Light 
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ว่านี้ก็คือ ลมพายุสุริยะ ที่ประกอบด้วยอนุภาคสสารมากมาย เมื่อมันถูกพัดผ่านมายังสนามแม่เหล็กของโลก อนุภาคต่าง ๆ ที่ถูกดูดเข้ามาในสนามแม่เหล็กของโลกนี้เองที่ทำให้เกิดแสงสีขึ้น จะเกิดมากในช่วงที่มีการแปรปรวนบนดวงอาทิตย์อย่างในช่วงจุดดับ (Sunspots) แต่จะเกิดสีอะไรนั้นขึ้นอยู่กับพลังงานของ อนุภาคที่ถูกพัดมากับลมสุริยะ 
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ว่านี้ก็คือ ลมพายุสุริยะ ที่ประกอบด้วยอนุภาคสสารมากมาย เมื่อมันถูกพัดผ่านมายังสนามแม่เหล็กของโลก อนุภาคต่าง ๆ ที่ถูกดูดเข้ามาในสนามแม่เหล็กของโลกนี้เองที่ทำให้เกิดแสงสีขึ้น จะเกิดมากในช่วงที่มีการแปรปรวนบนดวงอาทิตย์อย่างในช่วงจุดดับ (Sunspots) แต่จะเกิดสีอะไรนั้นขึ้นอยู่กับพลังงานของ อนุภาคที่ถูกพัดมากับลมสุริยะ 
ที่จริงแล้วแสงสีที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายแต่สีเขียวกับสีแดงจะโดดเด่นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะสีเขียวที่สามารถพบเห็นได้บ่อยครั้งเพราะเป็นสีที่สว่างที่สุด ส่วนสีแดงจะพบเห็นได้ค่อนข้างยาก ความแตกต่างของแสงสียังมีเหตุมาจากอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศที่ระดับความสูงต่างกัน ซึ่งทำให้ภาวะการกระตุ้นของอะตอมจะแตกต่างกันด้วย
รังสีออโรร่าที่เกิดขึ้นนี้มักจะพบเห็นได้ในบริเวณที่อยู่ระดับตั้งแต่ 100-1,000 กิโลเมตร เหนือพื้นดิน ซึ่งมีบรรยากาศเบาบาง ความกดดัน น้อยมากจนเกือบจะถึงขั้นสุญญา กาศ พลังงานจากดวงอาทิตย์ทั้งรังสีอุลตราไวโอเลตและอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่พุ่งออกจากดวงอาทิตย์จะไปกระตุ้นให้ก๊าซเฉื่อยที่มีอยู่เบาบางในบริเวณนั้นเรืองแสงขึ้นมา ซึ่งบางครั้งอาจเกิดนานเป็นชั่วโมงหรืออาจจะยาวนานถึงตลอดทั้งคืน 
ในอดีตวันที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้า แสงประหลาดที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้านี้ถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังทางไสยศาสตร์ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณของภูตผีที่พากันออกมาร่ายรำยามค่ำคืน บ้างก็ว่ากลุ่มวิญญาณจำนวนมากที่ออกมาต่อสู้กันบนท้องฟ้า สำหรับคนพื้นถิ่นนอร์เวย์เข้าใจว่าแสงนี้เป็นแสงที่เกิดจากสาวพรหม จารี การเต้นรำและการเคลื่อนไหวของระลอกคลื่น

ในอดีตวันที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้า แสงประหลาดที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้านี้ถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังทางไสยศาสตร์ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณของภูตผีที่พากันออกมาร่ายรำยามค่ำคืน บ้างก็ว่ากลุ่มวิญญาณจำนวนมากที่ออกมาต่อสู้กันบนท้องฟ้า สำหรับคนพื้นถิ่นนอร์เวย์เข้าใจว่าแสงนี้เป็นแสงที่เกิดจากสาวพรหม จารี การเต้นรำและการเคลื่อนไหวของระลอกคลื่น
แต่ชาวไวกิ้งที่เป็นชนพื้นเมืองในแถบขั้วโลกเหนือในยุคแรก ๆ เชื่อว่าแสงเหนือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากวิญญาณของสาวพรหมจารี 
ขณะที่ชาวเอสกิโมในกรีนแลนด์และชาวพื้นเมืองทางตอนเหนือของแคนาดาเชื่อว่า รังสีออโรร่าดินแดนแห่งความตาย และเมื่อใดที่แสงสีนั้นเปลี่ยนไปก็หมายความว่าเพื่อนของคุณที่เสียชีวิตไปแล้วกำลังพยายามติดต่อกับญาติที่ยังมีชีวิตอยู่

ส่วนคนอเมริกันเชื่อว่าหากพวกเขาทำพิธีเรียกผี แสงสีที่เกิดขึ้นก็คือการตอบสนองของดวงวิญญาณที่พวกเขาพยายามจะปลุกขึ้นมานั่นเอง

ขณะที่ชาวเอสกิโมในกรีนแลนด์และชาวพื้นเมืองทางตอนเหนือของแคนาดาเชื่อว่า รังสีออโรร่าดินแดนแห่งความตาย และเมื่อใดที่แสงสีนั้นเปลี่ยนไปก็หมายความว่าเพื่อนของคุณที่เสียชีวิตไปแล้วกำลังพยายามติดต่อกับญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ 
ส่วนคนอเมริกันเชื่อว่าหากพวกเขาทำพิธีเรียกผี แสงสีที่เกิดขึ้นก็คือการตอบสนองของดวงวิญญาณที่พวกเขาพยายามจะปลุกขึ้นมานั่นเอง

ส่วนคนอเมริกันเชื่อว่าหากพวกเขาทำพิธีเรียกผี แสงสีที่เกิดขึ้นก็คือการตอบสนองของดวงวิญญาณที่พวกเขาพยายามจะปลุกขึ้นมานั่นเอง
แต่ไม่ว่าแสงเหนือหรือแสงใต้ที่ปรากฏบนท้องฟ้าในช่วงฤดูหนาวของขั้วโลกเหนือและใต้ จะเคยถูกเข้าใจว่าอะไร สำหรับวันนี้ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว กลายเป็นหนึ่งในสินค้าทางการท่องเที่ยวของประเทศในแถบขั้วโลกเหนือ โดยเฉพาะนอร์เวย์ประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณอาร์คติกเซอร์เคิลที่ว่ากันว่าสามารถชื่นชมกับความมหัศจรรย์ของแสงเหนือได้ในทุกค่ำคืน 
ซึ่งหนึ่งในเมืองที่ชมความมหัศจรรย์ได้ดีที่สุดก็คือ ทรูมโซ ซึ่งให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์นี้ถึงขนาดให้มีการบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ถึงที่มาที่ไปที่พิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยทรูมโซ

ซึ่งหนึ่งในเมืองที่ชมความมหัศจรรย์ได้ดีที่สุดก็คือ ทรูมโซ ซึ่งให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์นี้ถึงขนาดให้มีการบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ถึงที่มาที่ไปที่พิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยทรูมโซ
และอีกแห่งก็คือ เกาะสวาลบาร์ด ที่ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่สามารถศึกษารังสีออโรร่าทั้งกลางวันและกลางคืน โดยคนไทยที่ต้องการจะไปที่เกาะแห่งนี้ไม่ต้องขอวีซ่าก็สามารถข้ามไปได้หากมีจุดหมายอยู่แห่งเดียว แม้จะเป็นเกาะที่อยู่ในนอร์เวย์ก็ตาม ซึ่งเป็นกฎระเบียบที่เกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าเชื่อด้วยว่าที่นี่หนาวติดลบเกือบตลอดทั้งปีแห่งนี้จะมีคนไทยไปใช้ชีวิตอยู่ด้วย. 


ทว่าการเกิดของแสงออร่าในธรรมชาติที่จะให้สีต่างกันนั้น กลับมีที่มาที่แตกต่างกัน เพราะแสงสีที่ว่าเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กของโลกสัมผัสกับลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ 
แกนกลางของโลกที่เกิดขึ้นจากธาตุโลหะต่าง ๆ เสมือนเป็น แม่เหล็กยักษ์ตั้งอยู่กลางโลก และโลกกับดวงอาทิตย์มีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงทำให้เกิดชั้นบรรยากาศสนามแม่เหล็ก ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เป็นบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กแรงมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของโลก จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น 










 

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

ดอกปีบ สัญลักษณ์ พยาบาล



" ดอกปีบ " เป็นสัญลักษณ์ของพยาบาลไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ . 2534 เป็น ต้นมา เนื่องจาก " ดอกปีบ " เป็นดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นหอม ต้นปีบเป็นไม้ยืนต้น ขึ้นได้ในที่ดินแห้งแล้ง ราก ลำต้น และดอกใช้เป็นสมุนไพรได้ เปรียบกับพยาบาลในชุด สีขาวผู้พร้อมที่จะประกอบคุณงามความดี ประดุจกลิ่นหอมของดอกปีบ และพร้อมที่สร้างประโยชน์เช่นเดียวกับการเป็นสมุนไพรของ " ดอกปีบ " นั่นเอง
     "ดอกปีบ" เป็น ดอกไม้ประจำจังหวัดปราจีนบุรี
     มีชื่ออื่นเช่น กาซะลอง กาดสะลอง (ภาคเหนือ), เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)
   "ดอกปีบ"  เป็นดอกไม้ประจำของนางโคราคเทวีซึ่งเป็นนางประจำวันจันทร์ในธิดาของพระอินทร์ 
    "ดอกปีบ" เป็นต้นไม้ที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู เพราะมีความทนทานสภาพธรรมชาติได้ดี...เหมือนพยาบาลที่มีความอดทนเป็นเลิศต้องพร้อมรับในทุกสถานะการณ์  ...ยิ้มรับได้เสมอ

        คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นปีปไว้ประจำบ้านจะทำให้เก็บเงินเก็บทองได้มาก เพราะ ปีป คือ ภาชนะที่ใช้ในการบรรจุของ ดังนั้นคนไทยโบราณเรียกภาชนะใส่ของที่มีค่าว่า ปีปเงิน ปีปทอง นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่าสามารถทำให้มีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะปีปมีลักษณะแข็งและโปร่ง เวลาเคาะหรือตี
จะเกิดเสียงดังไปไกล


ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingale)

Florence

มิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล เกิดวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.1820 ในตระกูลคหบดี ที่เมือง ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ได้รับการอบรมเลี้ยงดูตามแบบชาวอังกฤษ มีการศึกษาดี สามารถเรียนรู้และพูดได้หลายภาษา มิสฟลอเรนซ์ เป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และสนใจศึกษาหาความรู้ที่จะเป็นพยาบาลในขณะอายุ 20 ปี แต่ในขณะนั้นสตรีที่เรียนวิชาพยาบาลหรือเป็นพยาบาลส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มี การศึกษาน้อย และมาจากครอบครัวที่ยากจน ทำให้มีกิริยามารยาทไม่ดีไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม บิดามารดาของมิสฟลอเรนซ์จึงไม่อนุญาตให้ศึกษาเล่าเรียน วิชาชีพพยาบาลและพยายามหันเหความสนใจของมิสฟลอเรนซ์ไปสู่งานสังคมและให้ท่อง เที่ยวไปยังเมืองต่างๆในยุโรป การที่ได้มีโอกาสได้ท่องเที่ยวเมืองต่างๆนี้เองทำให้มิสฟลอเรนซ์ได้มีโอกาส เยี่ยมชมโรงพยาบาลต่างๆในหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน เบลเยี่ยม อิตาลี และอีกหลายแห่ง ทำให้ได้เห็นการจัดการโรงพยาบาล การจัดการพยาบาลตามแบบนิกายโปรแตสแตนท์ ที่ผู้ปฏิบัติการพยาบาลไม่ต้องบวชชีตามแบบซีเดคอนแนส ทำให้สามารถให้การพยาบาลผู้ป่วยได้กว้างขวางขึ้น มิสฟลอเรนซ์ได้ตัดสินใจเข้าเรียนพยาบาลอีกครั้ง เมื่ออายุได้ 14 ปี แต่ก็ยังไม่ได้รับการยินยอมจากครอบครัว ต่อมาปี ค.ศ.1850 อายุครบ 30 ปี จึงได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนวิชาชีพพยาบาล และได้ศึกษาเล่าเรียนเป็นเวลา 4 เดือน
ค.ศ.1853 มิสฟลอเรนซ์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลสถานที่เจ็บป่วยของสุภาพสตรีในประเทศ อังกฤษ ซึ่งได้รับการยกย่องมาก ค.ศ.1856 โรงพยาบาล King?s College ขอให้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนพยาบาลแต่ยังไม่ได้ประจำทำงานก็เกิดสงครามไค รเมีย เป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับอังกฤษ ฝรั่งเศสและตุรกี กองทัพของอังกฤษมีบุรุษพยาบาลเป็นผู้ดูแลทหารที่บาดเจ็บ แต่บุรุษพยาบาลเหล่านั้นไม่ได้รับการฝึกหัดสำหรับดูแลทหารบาดเจ็บจากสงคราม การทำงานจึงไม่มีประสิทธิภาพ แต่กองทัพรัสเซียและตุรกี จะมีแม่ชีทางศาสนาติดตามไปในกองทัพ เพื่อ
ให้การดูแลทหารที่บาดเจ็บ ประเทศอังกฤษจึงได้ร้องขอให้ประชาชนเข้าช่วยเหลือ มิสฟลอเรนซ์จึงตัดสินใจเข้าช่วยเหลือ มิสฟลอเรนซ์พร้อมสตรีอาสาสมัครที่จะช่วยพยาบาลทหารอีก จำนวน 38 คน จึงเข้าประจำทำงานดูแลทหารบาดเจ็บที่โรงพยาบาลแบแรท ในเมืองสคูตารี่ โรงพยาบาลมีผู้บาดเจ็บมากถึง 3,000-4,000 คน อยู่รวมกันอย่างแออัด อากาศถ่ายเทไม่ดี ห้องน้ำห้องส้วมสกปรก น้ำหายาก ที่บอนปูพื้น ผ้าปูที่นอนหนแข็งและไม่มีผงซักฟอก เสื้อผ้าทหารบาดเจ็บไม่มีเปลี่ยนต้องใส่เสื้อเปื้อนเลือดและเหงื่อ อาหารไม่เหมาะสม รับประทานอาหารด้วยมือ น้ำดื่มไม่เพียงพอ มีหนูและสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ เกิดโรคระบาดขึ้น เช่น อหิวาตกโรค บิด ไทฟอยด์ ผู้บาดเจ็บมีอัตราการตายสูงถึง 42% ในเวลากลางคืน ต้องนอนในความมืด ไม่มีใครดูแล ไม่มีแสงสว่าง
มิสฟลอเรนซ์ได้ปฏิรูปงานโรงพยาบาลเกือบทุกด้าน ใช้เวลา 6 เดือน สามารถลดอัตราการตายลงเหลือ 2% และศัลแพทย์ก็พอใจการปฏิบัติของมิสฟลอเรนซ์มาก ค.ศ.1855 มิสฟลอเรนซ์และแม่ชีคาทอลิกอีก 3 คน เดินทางไปสถานพยาบาลในเมืองมาลาคาวา ในแหลมไครเมียร์ ได้ปรับปรุงการพยาบาลให้ดีขึ้น และกลับมายังโรงพยาบาลในเมืองสคูตารี่ เพื่อช่วยเหลือทหารบาดเจ็บต่อจนถึง ค.ศ.1856 สงครามไครเมียร์ก็สงบลง โรงพยาบาลต่างๆก็ปิดตัวลง พยาบาลทั้งหมดกลับประเทศอังกฤษ มิสฟลอเรนซ์กลับถึงอังกฤษเป็นคนสุดท้ายในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1856
จากความรู้ความสามารถและความเสียสละโดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก นับเป็นการปฏิบัติต่อเพอนมนุษย์อย่างยิ่งใหญ่ ลองเฟลโล(Longfellow) ได้ประพันธ์โคลง ?ซานตา ฟิโลมินา? สรรเสริญความดีงามและความเสียสละของมิสฟลอเรนซ์ว่าเป็น ?สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป? (The Lady of the Lamp) ต่อมาชาวอังกฤษได้รวบรวมเงินตั้งเป็นทุนไนติงเกล เพื่อเทิดพระเกียรติและยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของพยาบาลด้วยทุนดั
งกล่าว ใช้จ่ายเพื่อพัฒนาการศึกษาและปรับปรุงการพยาบาลให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ค.ศ.1860 มิสฟลอเรนซ์ได้เลือกโรงพยาบาลเซนต์โทมัส(St.Thomus) ที่กลุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นโรงเรียนพยาบาลไนติงเกล ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา ใช้เงินทุนจากมูลนิธิไนติงเกลในการบริหารกิจการของโรงเรียนและมีมิสซี วอร์ดโรพเปอร์ (Mss.Wardroper) เป็นผู้บริหารงานการสอนพยาบาลโรงเรียนพยาบาลไนติงเกล ใช้เวลาศึกษานาน 3 ปี จัดการเรียนทั้งภาคทฤษฎีและปฎิบัติ การคัดเลือกผู้เข้าศึกษาก็จะต้องเป็นบุคคลที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อย มีความรู้ และต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน โรงเรียนพยาบาลไนติงเกลได้ผลิตพยาบาลแล้วไปก่อตั้งโรงเรียนพยาบาลในหลายๆ ประเทศ ตามแบของมิสฟลอเรนซ์ไนติงเกล โดยเน้นหลักการศึกษาไว้หลายประการ เช่น ต้องเป็นอาชีพเกี่ยวแก่ศาสนาหรือมนุษยธรรม ต้องก้าวหน้าอยู่เสมอ เพราะวิชาชีพพยาบาลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องมีการฝึกหัด ต้องมีระเบียบวินัย ที่อยู่อาศัยสะอาด ฝ่ายการบริหารและบริการต้องกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ต้องประสานกันเพื่อประสิทธิภาพของงาน
ทางด้านงานหนังสือ หลังสงครามมิสฟลอเรนซ์ได้เขียนหนังสือ ?Note on Hospitals? พิมพ์ออกเผยแพร่ กล่าวถึงโรงพยาบาลที่สวยแต่ยังบกพร่องในการจัดแผนผังเกี่ยวกับสุขาภิบาลและ ของเครื่องใช้ที่เหมาะสมในการรักษาพยาบาล ต่อมาได้เขียนหนังสือ ?Notes on Nursing? หนังสือเล่มนี้ได้ใช้เป็นมาตรฐานในการอบรมถึงปัจจุบัน และมีข้อความที่เป็นอมตะต่องานปฎิบัติการพยาบาล เช่น ?การมองดูผู้ป่วยไม่เรียกว่าได้ใช้
ความสังเกต การเห็นสิ่งใดต้องใช้การฝึกฝน การเห็นนี้จะช่วยให้พยาบาลทำในสิ่งที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วย ความเป็นความตายของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับการสังเกตที่ถูกต้องของพยาบาล?
มิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ใช้ชีวิตในการช่วยกิจการของการพยาบาลอย่างต่อเนื่องและยาวนาน นับตั้งแต่ ค.ศ.1860 จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 90 ปี ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1910
Margarets FN grave
หลุมศพของฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ในสุสาน
โบสถ์เซนต์มาร์กาเรต

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557


ที่สุดภูมิศาสตร์โลก

1.ทวีปที่ใหญ่ที่สุด....ทวีปเอเชีย
2.ทวีปที่เล็กที่สุด....ทวีปออสเตรเลีย
3.ทวีปที่มีพลเมืองมากที่สุด....ทวีปเอเชีย
4.ทวีปที่มีพลเมืองน้อยที่สุด....ทวีปแอนตาร์กติกา
5.ทวีปที่มีประเทศมากที่สุด....ทวีปแอฟริกา
6.ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุด....ทะเลทรายสะฮารา


(ทะเลทรายสะฮารา)
7.มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุด....มหาสมุทรแปซิฟิก
8.มหาสมุทรที่เล็กที่สุด....มหาสมุทรอาร์กติก
9..มหาสมุทรที่ลึกที่สุด....มหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณที่ลึกที่สุด....
แมรีนาเทรนซ์ อยู่ในเขตประเทศ....ฟิลิปปินส์
10.ทะเลที่ใหญ่ที่สุด....ทะเลจีนใต้
11.ทะเลที่เล็กที่สุด....ทะเลบอลติก
12.ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด....ทะเลสาบแคสเปียน(ทะเลสาบน้ำเค็ม)
13.ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุด....ทะเลสาบสุพีเรียร์
14.ทะเลสาบที่มีน้ำเค็มที่สุด....ทะเลสาบเดดซี

(ทะเลสาบเดดซี)
15.แม่น้ำที่ยาวที่สุด....แม่น้ำไนล์
16.แม่น้ำที่กว้างที่สุดและมีลุ่มน้ำใหญ่ที่สุด...แม่น้ำแอมะซอน
17.แม่น้ำที่เกิดอุทกภัยร้ายแรงที่สุด....แม่น้ำฮวงโห(แม่น้ำวิปโยค)
18.เกาะที่ใหญ่ที่สุด....เกาะกรีนแลนด์
19.หมู่เกาะที่ใหญที่สุดและมีเกาะอยู่อย่างหนาแน่นมากที่สุด....
หมู่เกาะอีสอินดีส
20.แนวหินปะการังที่ยาวที่สุด....เกรทแบเรียรีฟ ประเทศออสเตร
เลีย
21.ยอดเขาที่สูงที่สุด....ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เทือกเขาหิมาลัย
ประเทศเนปาล


(ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ )
22.เทือกเขาที่มียอดเขาสูงอยู่มากที่สุด....เทือกเขาหิมาลัยมียอดเขา
สูงกว่า 400 ยอด
23.เทือกเขาที่ยาวที่สุด...เทือกเขาแอนดีส
24.ภูเขาไฟที่ดับแล้ว ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด....ภุเขาไฟฟูจิยามา ประเทศญี่ปุ่น
25.ประเทศที่มีภูเขาไฟมาที่สุด.... ประเทศอินโดนีเซีย
26.ที่ราบสูงที่สูงที่สุด....ที่ราบสูงธิเบต
27.น้ำตกที่สูงที่สุด....น้ำตกแองเจล ประเทศเวเนซุเอลา
28.คลองที่ยาวที่สุด....คลองโวลก้า-บอลติก ประเทศรัสเซีย


(น้ำตกแองเจล)  
29.คลองที่กว้างที่สุด....คลองปานามา
30.ประเทศที่มีแผ่นดินไหวบ่อยที่สุด....ประเทศญี่ปุ่น
31.ประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุด....รัสเซีย
32.ประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุด....นครรัฐวาติกัน
33.บริเวณที่มีปลาชุกชุมมากที่สุด....แกรนด์แบงค์ ใกล้เกาะนิวฟันแลนด์
34.ประเทศที่เลี้ยงแกะมากที่สุด....ออสเตรเลีย
35.ประเทศที่มีอุตสาหกรรมต่อเรือมากที่สุด....ญี่ปุ่น
36.ประเทศที่ปลูกกาแฟมากที่สุด....บราซิล
37.ประเทศที่มีถ่านหินมากที่สุด....สหรัฐอเมริกา
38.ประเทศที่ปลูกฝ้ายมากที่สุด....สหรัฐอเมริกา
39.ประเทศที่ปลูกข้าวเจ้ามากที่สุด ....จีน
40.ประเทศที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมเหล็กมากที่สุด....เยอรมนี



(นครรัฐวาติกัน)
41.ประเทศที่ปลูกข้าวสาลีมากที่สุด....รัสเซีย
42.ประเทศที่ขุดเพชรได้มากที่สุด....แอฟริกาใต้ เมืองโยฮันเนสเบอร์ก
43.ประเทศที่มีแร่เหล็กมากที่สุด....สวีเดน
44.ประเทศที่ขุดน้ำมันดิบขึ้นมาใช้มากที่สุด....รัสเซีย
45.ประเทศที่มีวัวมากที่สุด....อินเดีย
46.เมืองที่มีพลเมืองหนาแน่นที่สุด....โตเกียว
47.ประเทศที่ผลิตอาหารได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก....สหรัฐอเมริกา
48.เมืองที่อยู่ใต้สุดของโลก....ปันตาแอเนราส ปลายสุด ประเทศชิลี
49.เมืองที่อยู่เหนือสุดของโลก....ฮัมเมอร์เฟสต์ ประเทศนอร์เวย์
   

10 สุดยอดสิ่งประดิษฐ์ของเลโอนาร์โด ดาวินชี




   เลโอนาร์โด ดาวินชี เกิดที่เมืองวินชี ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 1995 (ค.ศ. 1452) หรือเมื่อ 554 ปีก่อน เขาเป็นทั้งจิตรกร นักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักสังเกตธรรมชาติ มีผลงานสร้างความตื่นตะลึงให้กับคนยุคแล้วยุคเล่า อันที่จริงแล้ว ดาวินชี มีผลงานสิ่งประดิษฐ์มากกว่า 100 ผลงาน และนี่คือผลงานที่โดดเด่นที่สุดรองจากผลงานทางศิลป์ 


อันดับ 10
 เทคนิคการเขียนกลับทาง (Mirror Writing)
 
  เทคนิคการเขียนตัวอักษรย้อนกลับทิศทางจากตัวหลังไปตัวหน้าของดาวินชี สร้างข้อถกเถียงให้กับนักวิชาการจนถึงวันนี้ว่า เป็นวิธีการเข้ารหัสแบบโบราณที่เขาสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นๆ ลอบอ่านและขโมยข้อมูลในบันทึกส่วนตัว หรือจริงๆแล้วเป็นเพียงเพราะดาวินชี 'ถนัดซ้าย' จึงคิดวิธีเขียนกลับหลังแบบนี้เพื่อไม่ให้น้ำหมึกเปื้อนมือกันแน่


อันดับ 9
 ชุดดำน้ำ (Scuba Gear)
 
  ผลพวงจากการที่ดาวินชีหลงใหลในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นที่มาของการออกแบบอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการดำน้ำขึ้นมาหลายชนิด ในจำนวนนี้รวมถึงเรือดำน้ำและชุดประดาน้ำที่ตัวชุดทำจากหนังและเชื่อมต่อกับท่อและโลหะทรงกลม ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนสนอร์เกิ้ลหรือหน้ากากดำน้ำยุคปัจจุบัน นอกจากนั้นชุดดำน้ำชุดนี้ยังมีถุงเก็บปัสสาวะด้วย แสดงให้เห็นถึงความรอบคอมในการออกแบบ


อันดับ 8
 สะพานชักรอก (The Revolving Bridge)
 
  ดาวินชีออกแบบสะพานสำหรับใช้ในการเคลื่อนพลผ่านพื้นที่ในสมรภูมิทุรกันดารต่างๆ เช่น การยกพลข้ามแม่น้ำ ตัวสะพานดังกล่าวมีระบบชักรอกและสายพาน ทำให้ทหารกางออกมาใช้งานและชักรอกเก็บได้อย่างรวดเร็ว เป็นหนึ่งในเครื่องจักรทุ่นแรงอีกหลายชนิดจากการคิดค้นของดาวินชี


อันดับ 7 เครื่องร่อน (The Winged Gilder)
 
  ภายในคลังจินตนาการอันไม่มีที่สิ้นสุดของดาวินชีนั้นมี 'เครื่องกลบินได้' รวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก รวมถึง 'เครื่องร่อน' ซึ่งตรงบริเวณปีกมีแผ่นบังคับเปิด-ปิดควบคุมทิศทางได้หรือที่ปัจจุบันเรียก ว่า 'แฟลบ' และในตัวเครื่องร่อนยังมีเกียร์ควบคุมความเร็วที่นั่งติดอยู่ด้วย


อันดับ 6 
ปืนใหญ่ 3 ลำกล้อง (The Triple-Barreled Cannon)
 
  แม้ประวัติของดาวินชีจะเกลียดสงคราม มีลักษณะเป็น 'นักคิด' มากกว่า 'นักรบ' แต่ในใจของเขาก็ยังฝันถึงการคิดค้นงานด้านวิศวกรรม หนทางเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้ คือ การออกแบบอาวุธสงครามเพราะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจมากที่สุด หนึ่งในผลงานการออกแบบอาวุธ ได้แก่ ปืนใหญ่ที่มีอานุภาพที่มีลำกล้องติดกันถึง 3 กระบอก เหมือนกับที่เห็นในภาพ


อันดับ 5 สกรูบิน (The Aerial Screw)
 
  ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะลงความเห็นตรงกันว่ามันไม่มีทางที่เจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะบินขึ้นจากพื้นได้ แต่ 'เฮลิคอปเตอร์' ในแบบของดาวินชีก็ยังคงถูกจัดให้เป็นหนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขา เครื่องกลที่ชวนให้สงสัยนี้ดูเหมือนว่าจะถูกออกแบบให้ทำงานโดยใช้คนสี่คนมาหมุนมันพร้อมกัน รวมทั้งน่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากกังหันลมซึ่งเป็นของเล่นที่นิยมกันในสมัยนั้นด้วย


อันดับ 4
 เมืองในอุดมคติ (The Ideal City)
 
  ยุคสมัยหนึ่ง ดาวินชีอาศัยอยู่ในนครมิลานท่ามกลางสภาพการแพร่ระบาดของโรคร้าย เขาจึงคิดออกแบบผังเมืองใหม่ให้มีความสะอาด เป็นระเบียบ ถูกสุขอนามัย อาทิ เขียนแบบให้เมืองในอุดมคติเมื่อหลายร้อยปีก่อนแห่งนี้มี 'ระบบระบายอากาศ' เพื่อดึงอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ตัวเมือง และมีระบบระบายน้ำเสีย


อันดับ 3
 รถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (The Self-Propelled Car)
 
  แน่นอนว่ารถที่ดาวินชีพยายามสร้างไม่สามารถวิ่งเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเหมือนรถเฟอร์รารี่ แต่ถ้าคิดว่าเป็นรถที่อยู่ในสมัยนั้นก็ต้องจัดว่าไฮเทคล้ำยุคสุดๆ เพราะรถที่มีตัวถังทำจากไม้คันนี้สามารถแล่นขับเคลื่อนด้วยตัวมันเอง ด้วยแรงส่งและการทำงานอย่างสัมพันธ์กันระหว่างสปริงและเกียร์ที่ล้อ เมื่อปี 2547 นักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑ์ในเมืองฟลอเรนซ์ทดลองสร้างแบบจำลองรถรุ่นนี้ตามแบบที่ดาวินชีร่างเอาไว้และพบว่าวิ่งได้จริง 


อันดับ 2
 แนวคิดเกี่ยวกับธรณีวิทยา (Geologic Time)


  นักคิดส่วนมากในสมัยของดาวินชีนั้นมีความเห็นตรงกันเป็นส่วนใหญ่ว่าซากฟอสซิลของพวกหอย ปู ปลาหมึกต่างๆที่พบบนยอดเขานั้นเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากการเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ แต่ดาวินชีกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาตั้งข้อสงสัยไว้ (ซึ่งก็ถูกเสียด้วย) ว่าภูเขาเหล่านั้นจะต้องเคยเป็นชายฝั่งมาก่อน ก่อนที่จะค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้นๆ ในเวลาต่อมา



อันดับ 1 วิทรูเวียนแมน (The Vitruvian Man)

 
  เชื่อว่าชาวโลกน้อยคนนักที่จะไม่เคยผ่านตากับภาพวาดของบุรุษผู้นี้ นั่นก็คือภาพ 'วิทรูเวียนแมน' ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ดาวินชีศึกษาสัดส่วนกายวิภาคมนุษย์อย่างละเอียด จนพิสูจน์ทฤษฎีบทของ 'วิทรูเวียน' ผู้เป็นสถาปนิกยุคจักรวรรดิโรมันได้สำเร็จว่า 'ร่างคนยืนกางแขนขาจะตกเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่สมบูรณ์เสมอ' และนับเป็นการเปิดประตูสู่ศาสตร์กายวิภาคครั้งสำคัญ 

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

   วันนี้เป็นวันเกิดของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักฟิกสิกส์และเป็นทั้ง
นักดาราศาสตร์ นั้นคือ เซอร์ ไอแซก นิวตัน
  ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เกิดเมื่อวันที่4 มกราคม ค.ศ.1643 ที่เมืองวูลสทอร์ป ลิงคอลน์ไชร์ ผลงานของเขา เช่น การค้นพบกฏการเคลือนที่  กฏความโน่มถ่วงสากล แสดงให้เห็นว่าการเคลือนที่ของวัตถุต่างๆบนโลกและบนท้องฟ้าอยู่ภายใต้กฏเดียวกัน จนสรุปได่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล


หญิงเหล็กแห่งอังกฤษ

 มาร์กาเรต แทตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศอังกฤษ และเป็นผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมด้วย ในช่วงนั้นสภาพเศรษฐกิจในประเทศตกตำ่ นางจึงลดเงินที่รัฐใช้จ่ายและลดอำนาจองค์กรต่างๆชาวอังกฤษพากันต่อต้านเพราะไม่เห็นด้วย แต่นางยังคงดำเนินนโยบายต่อจนเศรษฐกิจดีขึ้น ความพยายามมุมานะเพื่อประเทศชาติ ทำให้นางได้รับฉายยาว่า"หญิงเหล็กแห่งอังกฤษ"

สี่แยกTrafalgar

จัตุรัสทราฟัลการ์ หรือ สี่แยกTrafalgar




จัตุรัสทราฟัลการ์ Trafalgar Square เป็นสถานที่แห่งหนึ่งในใจกลางกรุงลอนดอน  เป็นอนุสรณ์สถานของสงครามทราฟัลการ์หรือสงครามวอเตอร์ลูระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1805 มีอนุสาวรีย์นายพลเนลสัน และล้อมรอบด้วยอาคารสำคัญ เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะ โบสถ์เซนต์มาร์ตินอินเดอะฟีลด์ 

จัตุรัสแห่งนี้มีพื้นที่ขนาดใหญ่อยู่ใจกลางมหานครลอนดอน ทั้งที่ 4 ของจัตุรัส และยังมีถนนตัดผ่านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข A4 ซึ่งถนนที่ล้อมทั้งหมดใช้ระบบการจราจรรถวิ่งทางเดี่ยว (One-way traffic system)  

 
ใจกลางของจตุรัสนอกจากจะมีอนุสาวรีย์แนลสันตั้งอยู่ตรงกลางแล้ว ที่ฐานของอนุสาวรีย์นั้นยังมีงานประติมากรรมสิงโตสำริด 4ตัวล้อมรอบฐานของอนุสาวรีย์   ออกแบบโดย เซอร์เอ็ดวิน แลนเซียร์


 หนึ่งในสี่ของ ประติมากรรมสิงโตสำริด ที่ใช้ส่วนผสมของโลหะจากปืนใหญ่ของฝรั่งเศส สิงโตทั้งสี่ตัวนี้เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว ต่างพากันถ่ายรูปคู่กับสิงโต เพื่อเป็นที่ระลึก ว่าได้มาถึงลอนดอน


รูปสลักของสมเด็จพระเจ้าจอร์ซที่4 ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจตุรัส  สร้างขึ้นในปี1840 สมัยรัชกาลของพระองค์ พระเจ้าจอร์จที่ 4 เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ในการที่ทรงเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยตลอดพระชนม์ชีพ ในปี ค.ศ. 1797


 รูปปั้นที่อยู่น้ำพุที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึง คุณงามความดีของ ลอร์ดเจสิโค และลอร์ดบีทตี้  ผู้บัญชาการทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่1


  บนสนามหญ้าหน้าหอศิลป์แห่งชาติ มีอนุสาวรีย์สองรูปตั้งอยู่คืออนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของทางเข้าหอศิลป์ อีกรูปคืออนุสาวรีย์ของ จอร์จ วอชิงตัน ซึ่งเป็นของขวัญให้แก่อังกฤษมาจากมลรัฐเวอร์จิเนียซึ่งถูกทำขึ้นที่สหรัฐ อเมริกา จัตุรัสกลายมาเป็นจุดรวมตัวทางสังคม ศิลปะ วัฒนธรรม การเมืองและเศรษฐกิจสำหรับทั้งนักท่องเที่ยวและชาวลอนดอนเองอย่างรวดเร็ว 


จากตรงกลางของจตุรัส สามารถมองเห็นหอนาฬิกาบิ๊กเบน สถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆผู้คนพลุกพล่าน และยังใช้เป็นที่ทำการประท้วง ในเหตุการณ์สำคัญ ของกลุ่มชน อีกทั้งยังใช้เป็นที่ในการจัดงานและเฉลิมฉลองงานเทศกาลต่างๆที่สำคัญ และทุกๆเดือนธันวาคมรัฐบาลของประเทศนอร์เวย์จะส่งต้นคริสมาส์ตขนาดใหญ่ มาตั้งไว้ที่จตุรัสแห่งนี้เป็นประจำทุกปี เนื่องด้วยเป็นการแสดงความขอบคุณที่ประเทศอังกฤษทำให้สงครามโลกครั้งที่สอง ยุติลง


   ต้นคริสมา์ส์ต จากประเทศนอร์เวย์ ที่ส่งมาเป็นของขวัญให้กับประเทศอังกฤษทุกปี ตั้งแต่ปี คศ.1947 

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

the give

 

The Giver เขียนโดย Lois Lowry เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชุมชนแห่งหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า the community เป็นชุมชนที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีความทุกข์หรือปัญหาทั้งปวง ทุกอย่างเป็นไปอย่างเป็นระบบระเบียบ เมื่อมีใครทำผิด เขาจะกล่าวขอโทษ ซึ่งทุกคนก็ต้องกล่าวยอมรับการขอโทษด้วยข้อความแบบเดียวกัน และสมาชิกทุกคนที่นี่จะมีหน้าที่เป็นของตัวเองซึ่งได้รับการ assigned มาตั้งแต่ตอนอายุสิบสอง ตัวละครเอกของเรื่องชื่อว่า โจนัส  โจนัสก็ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นในชุมชน คือเมื่ออายุครบสิบสองก็ต้องเข้าพิธีรับมอบหมายหน้าที่ อาจจะต่างนิดหน่อยตรงนี้หน้าที่ซึ่งโจนัสได้รับนั้น ไม่ได้มาจากการ "มอบหมาย" แต่มาจากการ "คัดเลือก" และในชุมชนถือว่าเป็นหน้าที่ที่มีเกียรติสูงสุด คือหน้าที่ในการเป็น the Receiver นั่นเอง The Receiver เปรียบไปก็เป็นเสมือนผู้เฒ่าผู้รอบรู้ของชุมชนแห่งนี้ เพราะจะเป็นผู้รับสืบทอดความทรงจำจาก The Receiver คนเก่า ซึ่งคนเก่านี้ พอมีคนใหม่มาทำหน้าที่แทน เขาก็ต้องถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดทั้งมวลให้คนใหม่ ตัวเขาจึงเปลี่ยนชื่อเรียกไปเป็น The Giver ตอนแรกที่อ่านจะยังไม่เห็นภาพว่าชุมชนแห่งนี้มันเป็นยังไง แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ และพบว่าเดอะกิฟเวอร์ถ่ายทอดความรู้อะไรให้โจนัสบ้าง เราก็จะค่อยๆ เห็นภาพค่ะ เดอะรีซีฟเวอร์นั้น จะมีหน้าที่เก็บความทรงจำทั้งมวลที่เกี่ยวกับความเป็นไปในทุกชุมชนทั่วโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อดีตที่ผู้คนยังเต็มไปด้วยความขัดแย้ง อดอยาก เพราะภาวะประชากรล้นโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นๆ ในชุมชนไม่รู้มาก่อน จะว่าไปโลกอดีตที่โจนัสต้องเรียนรู้ ก็คือโลกปัจจุบันที่เราอยู่กันนั่นเอง สิ่งแรกที่โจนัสได้รับถ่ายทอดคือ คำว่า snow ชุมชนของโจนัสไม่เคยมีหิมะ เพราะได้ควบคุมสภาพอากาศไว้ เพื่อเหตุผลทางการเกษตร ต่อมาก็เรียนรู้ถึงคำว่า sunshine sunburn และ color อ่านถึงตรงนี้ถึงได้ทราบว่าเมืองที่โจนัสอยู่นั่นมันไม่มีสีค่ะ หรือที่ในหนังสือใช้คำว่า colorless ส่วนสัตว์หรือ animal ก็เป็นสิ่งที่มีแค่ตำนาน แต่ไม่มีใครเคยเห็น แต่ละวันหลังเลิกเรียน โจนัสต้องไปรับถ่ายทอดความทรงจำจากเดอะกิฟเวอร์ทุกวัน เขาได้รับการถ่ายทอดทั้งในสิ่งที่ดี และไม่ดี ซึ่งให้ทั้งความสนุกและความตื่นเต้น ได้เรียนรู้ว่าชุมชนที่สมบูรณ์พร้อมได้เพียงนี้นั้น ต้องแลกกับการสูญเสียอะไรไปมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “ความรัก” ความสนุกของหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงการที่เขาใช้คำเรียกสิ่งของต่างๆ ในแบบของชุมชนเขา และการที่หนังสือค่อยๆ อธิบายเหตุผลว่าเพราะเหตุใด จึงต้องกำจัดสิ่งที่โจนัสมองว่าเป็นความสุขออกไป แต่ขณะเดียวกันก็ยังต้องการให้มีคนหนึ่งจดจำความรู้สึกเกี่ยวกับเหล่านั้นไว้ โจนัสจะเป็นเหมือนตัวแทนของเรา ถามในสิ่งที่คนอ่านอย่างเราสงสัย หน้าที่ของโจนัส อาจจะดูเหมือนมีเกียรติก็จริง แต่ความจริงนั้น เป็นภาระที่หนักหนามาก มากจนก่อให้เกิดความผิดพลาดมาแล้วกับตัวเดอะรีซีฟเวอร์คนก่อน




 ไฮพาเทีย...หญิงผู้นำพาแสงสว่างแห่ง 

                                             Hypatia portrait.png  
      ไฮพาเทีย...หญิงผู้นำพาแสงสว่างแห่ง "ความจริง" มาสู่จิตใจของผู้คน แต่ชีวิตของเธอกลับสิ้นสุดลงอย่างมืดมิดด้วยการถูกสังหารโหดจาก "ความเชื่อ" ที่แตกต่าง...ไฮพาเทียแห่งอเล็กซานเดรียไฮพาเทียเกิดเมื่อ ค.ศ.370 ในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของอียิปต์ยุคนั้น เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาวงการคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และปรัชญา  ซึ่งเป็นเรื่องแปลกในสมัยก่อน ที่ผู้หญิงจะลุกขึ้นมาเป็นผู้มีความสามารถล้นเหลือ แต่สำหรับไฮพาเทีย นอกจากสมองอันปราดเปรื่องของเธอแล้ว เธอยังมีแต้มต่อสำคัญที่ส่งเสริมการเรียนรู้มาตั้งแต่เยาว์วัย  เนื่องจากเธอเป็นธิดาของธีออน หัวหน้าผู้ดูแลห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย สถานที่สะสมความรู้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในความรุ่งโรจน์ของอียิปต์
ในช่วงที่เป็นสาวสะพรั่ง ไฮพาเทียออกเดินทางสู่โลกกว้าง ไปศึกษาต่อถึงกรุงเอเธนส์ และอิตาลี ซึ่งเป็นดินแดนสำคัญแห่งศิลปวิทยาในสมัยนั้น และเมื่อกลับมาอียิปต์อีกครั้ง เธอก็ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลสถาบันนีโอพลาโตนิส ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่ง และพัฒนาให้สถาบันแห่งนี้มีความเป็น "โรงเรียน" ที่ถูกยกระดับมากขึ้น ส่งเสริมความคิดและการพัฒนามากขึ้น จนมีผู้เรียนล้นหลาม ในขณะที่ตัว "อาจารย์ใหญ่" อย่างไฮพาเทียเองก็ขจรขจายชื่อเสียงในฐานะครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ ลูกศิษย์ทั้งหญิงชาย ที่เชื่อมั่นในตัวอาจารย์กันมาก ทำให้ไฮพาเทียเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดของคนหนุ่มสาวสิ่งที่ไฮพาเทียสอน มีทั้งวิชาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ ปรัชญา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิชาที่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของพลาโต และอริสโตเติล และหากจะกล่าวรวมๆแล้ว  สิ่งที่ไฮพาเทีย พยายามเผยแพร่แนวคิดออกไป คือสิ่งที่เรียกว่า "วิทยาศาสตร์" ซึ่งแตกต่างอย่างสุดกู่จากโรงเรียนอื่นๆในสมัยนั้น ที่เน้นการสอนเรื่องปาฏิหาริย์ การบวงสรวงแก่ปวงเทพ หรือสิ่งลึกลับที่พิสูจน์ไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไฮพาเทียปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงนอกจากงานสอนแล้ว ไฮพาเทียยังเป็นนักประดิษฐ์ตัวยง แม้ในภายหลังเอกสารและอุปกรณ์ วิทยาศาสตร์ของเธอจะสูญหายไป แต่ก็พอจะมีเค้าเรื่องที่เล่าต่อกันมาว่า ไฮพาเทียเป็นผู้คิดประดิษฐ์ เครื่องกลั่นน้ำ เครื่องวัดระดับน้ำ และที่สำคัญคือ เครื่องวัดตำแหน่งดวงดาว อันมีความสัมพันธ์กับโลก  ดวงอาทิตย์  ซึ่งนี่เป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งการเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ แต่ความรู้และคำสอนเหล่านี้ ก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของคริสต์ศาสนา ซึ่งในอดีตยังไม่ค่อยเปิดรับวิทยาศาสตร์ ไฮพาเทียจึงเป็นเหมือนผู้ที่ยืนท้าทายคริสตจักรแม่ครูสาวถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง ค.ศ.412 หลังจากที่ไซริลพระผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงผู้หนึ่งได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจทางศาสนจักร


ทางด้านวิทยาศาสตร์ ไฮพาเทียได้รับเกียรติให้นำชื่อของเธอไปตั้งเป็นชื่อดาวเคราะห์น้อยที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1884 รวมถึงทุกครั้งที่เราแหงนหน้ามองดวงจันทร์ เราก็ยังอาจจะเห็นเงาของเธออยู่บนนั้น เนื่องจากมีการตั้งชื่อหลุมอุกกาบาตหลุมหนึ่งบนดวงจันทร์ว่า ไฮพาเทีย เราจึงไม่อาจจะลืมเธอได้ตลอดกาล...แด่เธอ...แด่ความจริง...แด่ไฮพาเทีย.ทางด้านวิทยาศาสตร์ ไฮพาเทียได้รับเกียรติให้นำชื่อของเธอไปตั้งเป็นชื่อดาวเคราะห์น้อยที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1884 รวมถึงทุกครั้งที่เราแหงนหน้ามองดวงจันทร์ เราก็ยังอาจจะเห็นเงาของเธออยู่บนนั้น เนื่องจากมีการตั้งชื่อหลุมอุกกาบาตหลุมหนึ่งบนดวงจันทร์ว่า ไฮพาเทีย เราจึงไม่อาจจะลืมเธอได้ตลอดกาล...แด่เธอ...แด่ความจริง...แด่ไฮพาเทีย.