หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ที่มาของการพับนก1,000 ตัว

การพับนกกระเรียนให้ครบ 1,000 ตัวเป็นความเชื่อของชาวญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนประเทศญี่ปุ่นจะยอมแพ้สงครามสหรัฐ ได้มาทิ้งระบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิจนราบคาบเป็นผลทำให้ประชาชนชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าซาดาโกะ ซาซากิ รอดชีวิตมาจากระเบิดนิวเครียร์ที่เมืองฮิโรซิมามาได้ หลังจากนั้นต่อมาเธอได้รับผลกระทบจากสารกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์ที่ตกค้างอยู่ ทำให้เธอต้องป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจึงต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล วันหนึ่งเพื่อนของเธอมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ได้เล่าตำนานเรื่องนกกระเรียนให้เธอฟังว่าแต่ก่อนชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่านกกระเรียนเป็นนกศักดิ์สิทธิ์






เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข ความหวัง ความโชคดี และสุขภาพอายุที่ยืนยาว หากใครพับนกกระเรียนได้ครบ 1,000 ตัวสำเร็จ จะเป็นผู้โชคดีและมีอายุยืนยาว เพื่อนของเธอจึงแนะนำให้เธอพับนกกระเรียนเพื่อจะได้หายป่วย ระหว่างที่เธอพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลซาดาโกะก็เริ่มพับนกกระเรียนไปเรื่อยๆจนกระทั่งอาการดีขึ้นๆ และสามารถกลับบ้านได้
เธอจึงมีกำลังใจที่จะพับนกกระเรียนต่อให้ครบ แต่แล้วอาการของเธอก็กลับมาทรุดหนักและทำให้เธอเสียชีวิต ซึ่งในขณะนั้นเธอสามารถพับนกได้แล้ว 644 ตัวเพื่อนๆต่างพากันเสียใจในการจากไปของเธอ จึงได้ช่วยกันพับนกต่อให้ครบ 1,000 ตัว แล้วใส่ไปในโลงศพของซาดาโกะ
หลังจากนั้นต่อมาเรื่องของเธอก็ได้เล่าต่อๆกันไป พร้อมกับความเชื่อเรื่องการพับนกกระเรียน 1,000 ตัวก็แพร่หลายและเป็นที่รู้จักไปทั่วจนกระทั่งปัจจุบัน

ทุ่งมัสตาร์ด Mustard

ทุ่งมัสตาร์ด Mustard

ถ้าพูดถึงซอสที่รับทานกับไส้กรอกร้อนๆแล้วละก็ หลายท่านจะต้องนึกถึง ซอสมัสตาร์ด สีเหลืองอย่างแน่นอน แต่เจ้าซอสมัสตาร์ดนี่ทำมาจากอะไร วันนี้มีคำตอบมาฝากครับ
ทุ่งมัสตาร์ด
ทุ่งดอกไม้สีเหลืองอร่าม ที่เห็นอยู่ด้านบนคือ ทุ่งมัสตาร์ด ซึ่งดอกมัสตาร์ดนี้เอง ที่จะถูกนำมาสกัดเป็นซอสครีมสีเหลือง โดยมีหลักฐานพบว่าถูกใช้เป็นเครื่องปรุงแต่งรสอาหารมานานหลายพันปีแล้วครับ มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบ ยูเรเซีย และ เมดิเตอร์เรเนียน เพราะมัสตาร์ดเป็นพืชเมืองหนาว ดังนั้นจึงเติบโตได้ดีในโซนยุโรป ส่วนในแถบเอเชียสามารถปลูกได้ไม่กี่ที่ ซึ่ง ทุกดอกมัสตาร์ด ในเอเชียแห่งแรกอยู่ที่ เมืองโหล่วผิง ประเทศจีน สวยงามมากจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปเลยครับ
ทุ่งมัสตาร์ด
ทุ่งมัสตาร์ด
ส่วนในแถบแคชเมียร์บริเวณหุบเขาแกะ ทุกหมู่บ้านจะต้องปลูกต้นมัสตาร์ดเหมือนเป็นพืชสวนครัวเลย เพราะตัวดอกสามารถนำไปสกัดเป็นน้ำมันพืชแล้วนำมาปรุงอาหารได้ ใช้กันมากโดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ที่สำคัญน้ำมันดอกมัสตาร์ดยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตาให้มองเห็นชัดและช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสอีกด้วย

ทำไมแป้นพิมพ์จึงไม่เรียงตามลำดับตัวอักษร

keyboardเมื่อมองดูตัวอักษรบนแป้นพิมพ์หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมตัวอักษรจึงวางสลับไปสลับมา ทำไมไม่เรียงไปตามลำดับตัวอักษร ที่ไม่เรียงตามลำดับอักษรเพราะว่าในยุคแรกเริ่มที่มีการใช้เครื่องพิมพ์ดีด บนแป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีดในสมัยก่อนก็จะจัดเรียงตามลำดับตัวอักษร แต่เนื่องจากว่าเมื่อมีการใช้เครื่องพิมพ์ดีได้คล่องขึ้นก็จะพิมพ์เร็วขึ้น การกดแป้นพิมพ์เร็วนี้เองจึงทำให้เกิดปัญหาก้านพิพม์ดีดขัดกันอยู่เป้นประจำ
ต่อมานายคริสโตเฟอร์ ลาแธม โชลส์ วิศวกรเครื่องกลชาวอเมริกา ซึ่งเป้นผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดสมัยใหม่รายแรก ได้คิดค้นเรียงลำดับตัวอักษรใหม่ ด้วยการแยกตัวอักษรที่มักจะใช้มาผสมกับคำรวมกันบ่อยๆ ออกไปอยู่กันคนละฝั่งของแป้นพิมพ์ เมื่อเวลากดแป้นพิมพ์เร็วๆแล้วก้านพิมพ์ก็จะได้ไม่ขัดกันอีก
การเรียงตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ลักษณะนี้เรียกว่า การเรียงแบบ “QWERTY” (คิวเวอร์ตี้) โดยนำตัวอักษร 6 ตัวแรก (จากซ้ายมาขวา) ของแป้นพิมพ์แถวบนมาต่อกัน

เทศกาลชมดอกซากุระมีมา1,300 ปีแล้ว

ซากุระ เป็นดอกไม้สุดโปรดของชาวญี่ปุ่นมีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้ เกาะไต้หวันเกาะโอกินาวาญี่ปุ่น และยังพบซากุระในประเทศอื่นๆด้วย เช่น ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ จีน ตุรกี เยอรมัน แคนาดา และสหรัฐ
ซากุระ ญี่ปุ่น
ต้นซากุระเป็นพืชที่มีมากกว่า 300 สายพันธุ์แตกต่างกันที่ลัษษณะรูปร่าง สี และช่วงเวลาในการผลิดอก สายพันธุ์ทั่วไปเรียกว่า “โซเมอิโยชิโนะ” พบมากที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการชมดอกซากุระกันเป็นวัฒนธรรมเลยทีเดียว และวัฒนธรรมการชมดอกซากุระจะเกิดขึ้นปีละครั้ง โดยกรมอุตุนิยมวิทยาจะพยากรณ์ช่วงเวลาที่ดอกซากุระบานให้ประชาชนทราบล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนวางแผนได้ว่าจะไปชมดอกซากุระในช่วงเวลาใดและที่ไหนชมดอกซากุระ
โดยปกติซากุระจะบานในเดือนมกราคม เริ่มจากหมู่เกาะโอกินาวาก่อนเพราะอุณหภูมิจะอบอุ่นกว่าที่อื่น จากนั้นจะบานเรื่อยมาที่โอซากา เกียวโต นาโงย่า โตเกียว และฮอกไกโดเป็นที่สุดท้ายในเดือนพฤษภาคม  ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ชาวญี่ปุ่นจะนำเสื่อมาปูใต้ต้นซากุระตามสถานที่ต่างๆ และนำอาหารมารับประทานรวมกันและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน เป็นวัฒนธรรมการชมซากุระที่เรียกว่า “ฮานามิ” และอยู่คู่ชาวญี่ปุ่นมา 500 ปีแล้วเทศกาลชมดอกซากุระ
แต่อย่างไรก็ตามมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่าชาวญี่ปุ่นชมชอบและนิยมปลูกซากุระไว้ชื่นชมาตั้งแต่เมื่อ 1,300 ปีมาแล้ว ก่อนท่จะพัฒนามาเป็นวัฒนธรรมการชมดอกซากุระในเวลาต่อมา
เทศกาลชมดอกซากุระ


5 วิธีมีความสุขได้ โดยไม่ต้อง “เพอร์เฟ็กต์”

 ใครๆ ก็อยากจะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบทั้งหล่อ สวย รวย ฉลาด สมปรารถนาด้วยกันทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อว่า คุณสมบัติที่เพียบพร้อมสมบูรณ์จะทำให้ชีวิตมีความสุข และได้รับการยอมรับจากสังคม
บางคนจึงตั้งความหวังในชีวิตเอาไว้สูงเสมอจนเข้าขั้นเสพติด แต่รู้หรือไม่ว่า การทำตัวเป็นคนสมบูรณ์แบบตลอดเวลาอาจทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน!
การเสพติดความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) ถือเป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่งที่คนส่วนใหญ่เป็นแต่ไม่รู้ตัว รู้หรือไม่ว่ายิ่งพยายามทำตัวเป็นคนสมบูรณ์แบบมากเท่าไหร่ ความสุขก็ยิ่งลดน้อยลงมาขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญความสมบูรณ์แบบนี่แหละที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคเครียด ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของโรคร้ายอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
ความสุข
ความสุข

10 สัญญาณที่บอกว่า คุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้

1. คุณรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้รับรางวัลหรือมีคนชื่นชมคุณต่อหน้าคนอื่น
2. คุณรับไม่ได้ที่โดนตำหนิ และพยายามแก้ตัวอยู่เสมอเพื่อให้พ้นจากคำตำหนินั้น
3. ทุกครั้งที่เห็นคนอื่นผิดพลาดหรือเสียหน้า คุณจะรู้สึกดีและมักบอกต่อเรื่องเหล่านั้นให้คนรอบข้างฟัง
4. คุณไม่ยอมเปิดเผยความรู้สึกหรือเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟังมากนัก เพราะกลัวคนอื่นจะพบว่าคุณยังดีไม่พอ
5. คุณไม่กล้าเสนองาน แต่งตัวหรือคิดอะไรนอกกรอบ เพราะกลัวความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น
6. เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น คุณมักจะคิดซ้ำไปซ้ำมา ร้องไห้ และไม่ยอมให้อภัยตัวเองง่ายๆ
7. เมื่อคุณสะดุดล้ม ทักคนผิด เดินชนกระจก หรือแม้แต่พลาดในเรื่องเล็กๆ อย่างท้องร้องหรือเรอในที่สาธารณะ คุณจะรู้สึกเสียหน้าแล้วรีบเก๊กทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
8. เมื่อทำแบบทดสอบที่เกี่ยวกับตัวคุณ คุณจะรู้สึกเครียดและใช้เวลานานมากในการทำเครื่องหมายหน้าช่อง มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด
9. เมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อดีของตัวเอง คุณมักให้คำตอบแบบที่สังคมคาดหวัง เช่น เป็นคนตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์ ขยัน อดทน
10. คุณมักตั้งเป้าหมายในชีวิตให้สูงไว้เสมอ โดยโฟกัสเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ และเมื่อทำสำเร็จแล้วคุณก็จะขยับเป้าหมายให้ไกลมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ความสุข
ความสุข
ถ้าใครอ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกเหมือนกำลังมองเห็นตัวเอง อย่าเพิ่งตกใจ ลองมาดูวิธีการใช้ชีวิตแบบมีความสุขง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ

1. หัดให้อภัยตัวเอง

ทุกครั้งที่ทำผิดพลาดหรือทำอะไรไม่ได้อย่างใจ ต้องเลิกโทษว่าเป็นความผิดพลาดตัวเอง (แม้ความผิดพลาดนั้นจะเกิดจากเราจริงๆ) ให้คิดว่า เราได้ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว หัดยอมรับในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ เพราะการคิดวนเวียนไปมาซ้ำซากนั้น ไม่ได้ทำให้ปัญหาจบสิ้นไป มีแต่จะทำให้เราเป็นทุกข์ใจเพิ่มมากขึ้น

2. หยุดเปรียบเทียบ

อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กเกรด 4 ที่อยู่หน้าห้อง คนเก่งที่สุดในที่ทำงาน หรือเพื่อนที่ร่ำรวยที่สุดในกลุ่ม เพราะแท้จริงแล้วเขาเหล่านั้นอาจไม่มีความสุขในชีวิตเลยก็ได้!…ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ โดยหันไปมองคนที่ใช้ชีวิตธรรมดา แต่หัวเราะร่าได้ทุกวันแทนดีกว่า

3. พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส

              เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกเสียหน้าหรืออับอาย เช่น ถูกตำหนิต่อหน้าคนอื่น หรือถูกแซวแรงๆ จนหน้าม้าน แทนที่คุณจะแอบเสียใจหรือน้อยใจกับคำพูดนั้น ลองเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า แท้จริงเขาคงปรารถนาดี อยากให้เราปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เพียงแต่เขาพูดไม่เป็นและไม่รู้จักกาลเทศะ เมื่อมองได้อย่างนี้ ใจของคุณก็จะเป็นสุขด้วยความคิดบวกของตนเอง

4. ลดความคาดหวัง

การตั้งความคาดหวังในชีวิตมากๆ มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์ใจ และเมื่อไหร่ที่เราเป็นทุกข์ รัศมีความทุกข์ก็จะแผ่ไปยังคนรอบข้างด้วย ทำให้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ฉะนั้นเราจึงควรลดความคาดหวังลง และเมื่อเราไม่คาดหวังกับตัวเองมากนัก เราก็จะรู้สึกสนุกกับสิ่งที่เราทำมากยิ่งขึ้น…เผลอๆ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ

5. มองหาความสุขเล็กๆ รอบตัว

การจ้องจะไปให้ถึงเป้าหมายตลอดเวลา อาจทำให้เราพลาดหลายสิ่งดีๆ ในชีวิต บางสิ่งที่เราคิดว่าไร้สาระในวันนี้ เมื่อนึกย้อนกลับไปอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเสียดายก็เป็นได้ ลองเดินออกมาจากกรอบเดิมๆ เพลิดเพลินกับความสุขเล็กๆ รายทางที่เรามองข้าม เอาเวลาอันแสนมีค่ามามอบให้กับเพื่อน คนรัก และครอบครัวดูบ้าง
แล้วจะรู้ว่าโลกที่ขาดความสมบูรณ์แบบใบนี้น่าอยู่ยิ่งกว่าเดิม

รู้หรือไม่?

ลูกคนโตมีแนวโน้มจะมีอาการเสพติดความเพอร์เฟ็กต์มากกว่าลูกคนรอง เพราะมักถูกพ่อแม่คาดหวังว่าจะต้องเป็นที่พึ่งของครอบครัว ในครอบครัวคนจีน ลูกชายจะมีอาการเสพติดความเพอร์เฟ็กต์มากกว่าลูกผู้หญิงด้วยเหตุผลเดียวกัน ผลการวิจัยพบว่า คนที่เสพติดความเพอร์เฟ็กต์จะได้รับรายได้น้อยกว่าคนที่ใช้ชีวิตโดยไม่สนใจความเพอร์เฟ็กต์เลย

“อะโวคาโด” ยิ่งกิน…ยิ่งสุขภาพดี

ใครที่ชอบกินแซนด์วิชในคาเฟ่ฮิปๆ หรือกินซูซิในร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่น น่าจะเห็นผลไม้หั่นเป็นชิ้นสีเขียวอมเหลือง เนื้อนิ่ม ครีมมัน รสจืดๆ ที่ใช้เป็นส่วนผสม ไม่มีรสแต่พอเคี้ยวรวมกับขนมปังหรือข้าวแล้วจะได้รสมันๆ ที่ทำให้อร่อยขึ้น รสชาติเหล่านี้นี่แหละเป็นลักษณะเด่นของอะโวคาโด ผลไม้พื้นเมืองของเม็กซิโก
อะโวคาโด avocado
ชาวเม็กซิกันมักใช้เนื้ออะโวคาโดปรุงอาหารแทนเนย และบ้านเราบางคนก็เรียกว่า “ลูกเนย” เนื้อครีมมันสีเขียวอมเหลืองของอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอีที่มีอยู่มาก วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินซี และยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและโฟเลต วิตามินอีและวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้ได้รับอันตรายจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็งบางชนิดได้ ส่วนโพแทสเซียมจะช่วยควบคุมความดันโลหิตทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติและรักษาสุขภาพของระบบประสาท ส่วนวิตามินบี 6 ช่วยควบคุมการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ
กรดไขมันในอะโวคาโดเป็นไขมันชนิดเดียวกับน้ำมันมะกอก คือเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวแบบตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ และอาจช่วยลดไขมันร้าย (LDL) ส่วนคนที่ควบคุมน้ำหนักต้องระวังอย่ากินมาก เพราะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง อะโวคาโดเพียงครึ่งผลให้พลังงานถึง 190 – 238 กิโลแคลอรี และยังจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีโปรตีนมากที่สุดด้วย

ไขมันช่วยเสริมความงาม

เนื้ออะโวคาโดมีไขมันชนิดดีที่เหมือนกับน้ำมันมะกอก ไขมันนี้ยังเปี่ยมไปด้วยวิตามินอีที่ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ และยังช่วยให้ผมดำมันเป็นเงา ผู้หญิงในอเมริกาใต้และเม็กซิโกต่างก็ใช้อะโวคาโดบำรุงเส้นผมและผิวพรรณมานานนับพันปีแล้ว โดยเฉพาะใครที่มีผิวแห้ง ให้นำอะโวคาโดมาผสมกับกล้วยหอมสุกหรือไข่แดงและน้ำผึ้ง ในอัตราส่วน 1:1:1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาทีจึงล้างออก ผิวคุณจะชุ่มชื่นขึ้น
อะโวคาโด avocado
เพราะว่าไขมันในอะโวคาโดที่มีมากนี่เอง จึงมีการสกัดเป็นน้ำมันอะโวคาโดเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง และยังนำมาทำสบู่ ยาสระผม ครีมทางผิว เพราะจะดูดซึมได้ง่าย น้ำมันชนิดนี้มีสีเขียวเข้ม ใส เนื้อหนักหนืดและมีกลิ่นหอมของอะโวคาโดชัดเจน

เลือกกินอย่างไรให้อร่อย

อะโวคาโดเป็นผลไม้ยืนต้นที่ต้นสูงมาก ความสูงประมาณ 18 เมตร และมีต้นกำเนิดที่เม็กซิโก ว่ากันว่าชาวสเปนรู้จักมานานกว่า 500 ปี แล้ว แต่ไม่มีใครสนใจเพราะเป็นผลไม้รสจืด ผู้คนโดยเฉพาะคนอเมริกันเพิ่งเริ่มหันมาสนใจกินอะโวคาโดเมื่อศตวรรษที่ 20 นี่เอง ปัจจุบันปลูกได้ทั้งที่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือแม้แต่ในบ้านเรา โดยแรกเริ่มเดิมทีมิชชันนารีนำมาปลูกที่จังหวัดน่าน ต่อมมาก็แพร่หลายมากขึ้น จนเมื่อเป็นผลไม้ที่โครงการหลวงสนับสนุนและปลูกได้ทั่วไปในเชียงใหม่และเชียงราย บ้านเราจึงเริ่มนิยมกินกันมากขึ้น
ผลอะโวคาโดมีทั้งทรงกลม ทรงรีก้นป้านเหมือนลูกแพร์ บางพันธุ์ลูกเล็กเหมือนไข่ไก่บางพันธุ์ลูกใหญ่ยักษ์หนักเป็นกิโล โดยทั่วไปจะเปลือกหนา สีเขียว ผิวขรุขระหรือเรียบ บางพันธุ์มีสีเขียวแก่ สีแดงเลือดหมู สีเหลือง หรือแม้แต่สีดำ อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ต้องกินเมื่อสุกแล้วเท่านั้น ถ้าดิบจะมีรสฝาดและมีพิษ ที่น่าแปลกคือ เป็นผลไม้ที่ไม่สุกที่ต้น ต้องตัดมาแล้วเก็บไว้จึงจะสุก และต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง เมื่อสุกแล้วจึงเก็บไว้ในตู้เย็น
ตอนที่เก็บมาจากต้น เปลือกจะมีสีเขียวเข้ม พอเริ่มสุกจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเขียว ถ้าสุกมากก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และเมื่อบีบเบาๆ จะรู้สึกว่าเนื้อนิ่ม วิธีผ่าต้องใช้มีดผ่ากลางลูกให้รอบจนสามารถใช้มือแยกได้ เม็ดอะโวคาโดจะใหญ่มาก ถ้าสุกกำลังพอดี เนื้อจะเป็นสีเขียวอมเหลือง นุ่มมันน่ารับประทาน แต่ถ้าสุกเกินไป เนื้อจะเละและเป็นจุดสีน้ำตาล เพราะฉะนั้นควรกินตอนที่สุกกำลังพอดีจึงจะอร่อย และเมื่อปอกไว้สักพัก เนื้อก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดูไม่น่ากิน เคล็ดลับที่จะช่วยได้คือ เมื่อหั่นเนื้อใส่ชามแล้วให้วางเม็ดไว้ใต้เนื้อก็จะช่วยให้ยังเขียวอยู่ ซึ่งค่อนข้างแปลกแต่จริง
คนที่กินอะโวคาโดมากที่สุดคือพวกเม็กซิกัน โดยนำมาทำอาหารที่เรียกว่า ซัลซา วิธีทำคือนำเนื้ออะโวคาโดสุกๆ มาบี้ให้ละเอียด ใส่หอมหัวใหญ่สับ น้ำมะนาว พริก แล้วคลุกให้เข้ากัน แล้วกินกับนาโช (แผ่นแป้งของเม็กซิกันซึ่งคล้ายกับข้าวเกรียบบ้านเรา) เป็นของกินเล่น หรือใส่ในอาหารได้ทุกชนิด เช่น ใส่ไส้ในแผ่นแป้งทาโกรวมกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น เนื้อบด ถั่วแดงบดและชีส เป็นต้น
ในฟิลิปปินส์ บราซิล อินโดนีเซีย เวียดนามและอินเดียใต้ นิยมกินอะโวคาโดกับนมปั่นหรือไอศกรีม โดยการเติมน้ำตาล นมหรือน้ำ บางครั้งราดด้วยช็อกโกแลต แต่ด้วยเนื้อที่มีความมัน รสจืด และยังมีวิตามินมากมาย คนอเมริกันและออสเตรเลียจึงนิยมนำมาใส่แซนด์วิชกินกับผักและเนื้อสัตว์ เพราะจะช่วยให้เคี้ยวแล้วไม่แห้งจนเกินไป ทำสลัดหรือคานาเปเพียงหั่นเป็นชิ้นบางๆ กินกับกุ้งลวก และน้ำสลัดเทาส์ซันไอส์แลนด์ ซึ่งจะเข้ากันมาก หรือแม้แต่หั่นใส่รวมไปในสลัดแบบใดก็ได้ที่คุณชอบ แต่น้ำสลัดที่เข้ากันมักจะเป็นน้ำสลัดน้ำข้นที่มีส่วนผสมของครีมหรือชีส
ปัจจุบันอะโวคาโดถูกนำมาดัดแปลงสร้างสรรค์ต่างๆ เป็นอาหารฟิวชั่น โดยเฉพาะใส่ในซูซิข้าวญี่ปุ่นรวมกับกุ้งลวก ปลาไหล คลุกกับไข่กุ้ง เป็นต้น ซึ่งนิยมกันมากในอเมริกา ญี่ปุ่นและบ้านเรา
สำหรับบางคนที่นิยมรสธรรมชาติ ยืนยันว่าแค่ผ่าแล้วตักกินก้อร่อยแล้ว (แต่ต้องสุกพอดี) หรือแม้แต่วางบนขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้าแค่นี้ก็อร่อยและมีวิตามินเปี่ยมล้น

 แนะนำเมนูอร่อย แซนด์วิชอะโวคาโด

ส่วนผสม ขนมปังแซนด์วิชหั้นหนา 2 แผ่น อะโวคาโดหั่นเป็นชิ้น 1/2 ผล ผักสลัดใบเขียวตามชอบ มะเขือเทศหั่นบาง กุ้งลวกหรือแฮมหั่นบาง น้ำสลัดเทาส์ชันไอส์แลนด์หรือน้ำสลัดครีมชนิดอื่นๆ ที่คุณชอบavocado sandwich
วิธีทำ ปิ้งขนมปังแล้วทาเนยให้ทั่ว วางผัก เนื้อสัตว์ และอะโวคาโดที่หั่นไว้ ราดด้วยน้ำสลัด รับประทานได้ทันที

สระว่ายน้ำสุดมหัศจรรย์กลางแอ่งริมทะเล To Sua Ocean Trench บนเกาะอูโปลูในประเทศซามัว

เข้าฤดูท่องเที่ยวแบบนี้ ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่สร้างความประทับใจให้นักเดินทางมานักต่อนัก หนึ่งในนั้นคือสระว่ายน้ำสุดมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้างไว้ โท ซัว โอเซียน เทรนซ์ (To Sua Ocean Trench) เป็นท้องน้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่บนเกาะอูโปลูในประเทศซามัวร์
To Sua Ocean Trench
To Sua Ocean Trench
 ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเกาะที่สวยที่สุดของแปซิฟิกใต้ ไม่ไกลนักจากนิวซีแลนด์ หลังจากปีนลงไปเพื่อเล่นน้ำใสราวกระจกที่ต่ำจากพื้นดิน 30 เมตรแล้ว ยังสามารถดำดิ่งสำรวจถ้ำใต้น้ำที่ทะลุไปฝั่งทะเลใหญ่ได้ด้วย อย่างไรก็อย่าลืมอะเมซซิ่งไทยแลนด์แดนสยาม แม้สภาพการบ้านเมืองจะผุพังไปบ้างแต่แหล่งหย่อนใจของเรายังเร้าใจอยู่มาก
To Sua Ocean Trench
To Sua Ocean Trench

To Sua Ocean Trench
To Sua Ocean Trench

To Sua Ocean Trench
To Sua Ocean Trench

มหัศจรรย์น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale) ประเทศตุรกี

น้ำพุร้อน ปามุคคาเล (pamukkale) แดนมหัศจรรย์ขาวพร่างอยู่บนเนินเขาในตุรกี แหล่งน้ำล้ำค่าใต้ซากเมืองเก่าของชาวกรีกและโรมัน
pamukkale hot springs turkey-11
แผ่นที่ น้ำพุร้อนปามุคคาเล pamukkale
         เมื่อครั้งที่ริชาร์ด แซนด์เลอร์ นักวิชาการด้านกรี-โรมันชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียง รอนแรมผ่านเอเชียไมเนอร์ในปี ค.ศ.1765  ปามุกกาเลแรกเห็นเป็นเนินสีขาวกว้างใหญ่อยู่ไกลๆ ครั้งใกล้เข้าไปเขาถึงกับ “ตะลึง” ในสิ่งซึ่งดูเหมือน “น้ำตกเล็กๆ มากมายที่กลายเป็นน้ำแข็ง ระลอกคลื่นบนพื้นผิวนั้นดูราวกับน้ำที่แข็งตัวในทันใด หรือสายน้ำที่พวยพุ่งกลับกลายเป็นหินในฉับพลันทันที”
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
         นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ไปเยือนภาคตะวันตกของตุรกีต่างอัศจรรย์ใจกับปามุกกาเลเช่นกัน เมื่อเห็นลานหินสีขาวขอบกลมมนเหมือนเปลือกหอยซับซ้อนลดหลั่น ห้วงน้ำกว้างสะท้อนแผ่นผาที่ดูเป็นปุยนุ่ม กับบรรดาม่วนหินย้อยที่เหมือนน้ำตกน้ำแข็งรายรอบทั่วบริเวณซอกหินดุจเสาบอบบางแทรกแซมด้วยต้นยี่โถสีแดงสดตรงนั้นตรงนี้ เทือกเขาคลุมด้วยต้นสน มืดทะมึนตระหง่านอยู่ข้างหลัง เป็นฉากที่ขับเน้นให้ประติมากรรมสีขาวยิ่งเปล่งประกายพราวพร่างใต้แสงแดดกระจ่าง
         ชื่อปามุกกาเล แปลว่า “ปราสาทฝ้าย” แม้ในตำนานท้องถิ่นจะเล่าว่าพวกยักษ์ในสมัยโบราณใช้แนวเนินเหล่านี้ตากปุยฝ้ายที่เก็บมา ก็มีผู้แย้งว่าชื่อนี้น่าจะมาจากรูปลักษณ์ที่ดูเป็นปุยนุ่มของแผ่นผาและเนินหินที่นี่มากกว่า
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
         แผ่นผา เนินลาดและม่านหินย้อยที่ปามุกกาเลคลุมเนื้อที่ยาวเกือบ 2.5 กม. และกว้าง 500 ม. เกิดจากน้ำพุร้อนของภูเขาไฟที่พุพุ่งขึ้นมาสู่ที่ราบสูงเบื้องบน น้ำที่พุขึ้นมานั้นเต็มไปด้วยหินปูนและแร่ธาตุ ซึ่งถูกน้ำฝนกัดเซาะจากหิน พาซึมผ่านพื้นดินลงไปยังแหล่งน้ำพุ
         ทุกสิ่งทุกอย่างที่จมลงไปในน้ำพุจะถูกหินปูนในน้ำจับเป็นคราบ แล้วกลายเป็นหินภายในเวลาไม่กี่วัน ครั้นเมื่อนำพุไหลพ้นขอบที่ราบสูงก็จะทิ้งคราบหินปูนสะสมไว้ตามไหล่เขา หลายพันปีล่วงไปหินปูนจึงพอกพูนชั้นแล้วชั้นเล่าจนกลายเป็นแผ่นผา เนินลาด และม่านหินขาววาวแวว
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
         นับพันปีมาแล้ว น้ำพุร้อนที่อุดมด้วยแร่ธาตุแห่งนี้มีชื่อเสียงเรื่องการบำบัดโรคต่างๆ เช่น โรคไขข้อ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ กิตติศัพท์ของน้ำพุปรากฏค่อนข้างแน่นอนในปี 190 ก่อนคริตส์กาล เชื่อกันว่าในช่วงนั้น ยูมีนีสที่ 2 กษัตริย์กรีกแห่งเมืองเปอร์กามัน ซึ่งตั่งอยู่ใต้ชายฝั่งตะวันตกของตุรกีได้ทรงสร้างเมืองไว้เหนือที่ราบสูงที่น้ำพุพุ่งขึ้นมา ทรงขนานนามนครแห่งนี้ว่า เฮียราโพลิส ตามชื่อเฮียราภรรยาของเทเลฟุส ผู้สร้างเมืองเปอร์กามัมตามตำนาน
pamukkale hot springs turkey
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
         จนมาถึง 129 ปีก่อนคริสตกาล เมืองเฮียราโพลิสกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน และเป็นสถานอาบน้ำแร่ที่นอยมกันมากในยุดจักรวรรดิ จักรพรรดิต่างๆ รวมทั้งเนโรและฮาเดรียน ได้เสด็จมาสรงและเสวยน้ำแร่ที่นี่ ในรัชสมัยของเนโรเมื่อปี ค.ศ.60 เกิดแผ่นดินไหวทำลายเมืองเก่าพังพอนาศ เมืองใหม่ซึ่งสร้างขึ้นแทนที่นั้นใหญ่โตและงดงามกว่าเดิม มีถนนกว้างขวาง โรงละคร โรงอาบน้ำสาธารณะ แม้แต่บ้านเรือนยังใช้น้ำอุ่นที่ส่งมาตามราง
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
ตะกอนแร่ธาตุสีขาวที่น่าตื่นตาของ ปามุคคาเล มีทั้งแบบที่ทับถมก่อตัวเป็นกำแพงสูงชัน และเป็นเนินลาดเตี้ยๆ
         โรงอาบน้ำในศตวรรษที่ 2 มีห้องต่างๆ ซึ่งอุณหภูมิของน้ำแตกต่างกันไป เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้ใช้สลับกัน ผู้อาบน้ำจะเริ่มอาบจากห้องน้ำเย็นต่อด้วยห้องน้ำอุ่นที่ซึ่งเขาจะใช้น้ำมันทาตัว แล้วจึงย้ายไปยังห้องน้ำร้อนที่กรุ่นเป็นไอ เขาจะใช้เครื่องมือที่มีใบมีดโค้งขัดถูกน้ำมันและคราบไคลออกจากผิวกาย ปัจจุบันส่วนหนึ่งของโรงอาบน้ำเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์รวบรวมรูปแกะสลักกันงดงาม ตลอดจนของล้ำค่าอื่นๆ รวมทั้งเครื่องมือแพทย์และอัญมณี
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
น้ำพุร้อนปามุคคาเล (pamukkale)
         โบราณสถานที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองนี้คือวิหารพลูโต เทพเจ้าแห่งโลกบาดาล ซึ่งตั้งอยู่ติดกับวิหารอพอลโล ผู้เป็นสุริยเทพและเทพแห่งดนตรี บทกวี และการแพทย์ วิหารทั้งสองสร้างชิดเคียงกันเพื่อให้พลังแห่งแสงสว่างและอำนาจมืดของเทพทั้งสององค์หักล้างกันเอง
         อำนาจมือของเทพพลูโตนั้นคงจะต้องน่าสะพรึงกลัวจริงๆ เพราะสิ่งที่ฟุ้งกระจายออกจากถ้าแห่งหนึ่งในบริเวณนั้นคือควันพิษ ซึ่งสตราโบนักภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ชาวกรีก กล่าวว่าสามารถคร่ำชีวิตวัวได้ในทันที ควันนั้นเกี่ยวข้องกับวิญญาณชั่วร้าย กล่าวกันว่ามีเพียงพวกพระขันทีเฝ้าประจำหน้าถ้ำเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในถ้ำได้โดยปราศจากภยันตราย ปัจจุบันทราบกันแล้วว่าควันดังกล่าวมาจากน้ำพุร้อนและถ้ำนั้นยังปล่อยไอระเหยซึ่งทำให้เคืองตาจนน้ำตาไหลด้วย

นิวาสถานในภพหน้า

         นอกกำแพงเมืองเก่ามีสุสานใหญ่ มีหลุมฝังศพ 1,200 หลุม หลุมศพมากมายตกแต่งอย่างประณีตและมีขนาดมหึมา สุสานแห่งนี้เป็นประจักษ์พยานถึงสมัยที่ชาวโรมันผู้มั่งคั่งจำนวนมาก มุ่งมายังเมืองนี้ด้วยความหวังจะรักษาอาการป่วยไข้แต่ก็ไม่หาย
pamukkale hot springs turkey
ดอกไม้ท้องถิ่น ดอกยี่โถสีแดงสดใส แต่งแต้มสีสันให้แก่อาณาบริเวณที่เต็มไปด้วยโขดเนินสีขาวและซากหักพักของเมืองโรมันโบราณ
         ทุกวันนี้บรรดานักท่องเที่ยวเป็นเสมือนผู้สืบทอดการมาเยือนปามุคคาเล (pamukkale) ต่อจากคหบดีชาวโรมัน พวกเขาพากันมาพักผ่อนในวันว่าง มาลงอาบน้ำในสระน้ำอุ่น ซึ่งสระแห่งหนึ่งยังมีซากเสาโรมันจมอยู่ พวกเขามาตื่นตาตื่นในกับเนินลาดสีขาววาวระนับ ทอดตัวอยู่บนไหล่เขาเบื้องล่างของซากเมืองที่ปรับหักพัง

คาบสมุทรคัมชัตกา Kamchatka แห่งไซบีเรีย ที่ซึ่งมีแต่ภูเขาไฟและน้ำพุร้อน

   ควัน ไฟ และไอน้ำ ปกคลุมทั่วคาบสมุทรหนาวเย็นไกลโพ้น ณ สุดแดนตะวันออกของไซบีเรีย ที่ซึ่งมีแต่ภูเขาไฟและน้ำพุร้อน
Kamchatka Peninsula
Kamchatka คาบสมุทรคัมชัตกา
          ภูเขาคลีอุเชฟสกายา ยอดสูงสุดในคาบสมุทรคัมชัตกา เป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นขนาดใหญ่และมีรูปทรงกรวยสมบูรณ์ที่สุดลูกหนึ่งในโลก ควันพวยพุ่งไม่ขาดสายจากยอดสูง 4,750 ม. เกือบเท่ายอดมงบลอง และระเบิดมาแล้วกว่า 50 ครั้งในช่วง 300 ปีที่ผ่านมา กระนั้นคลีอุเชพสกายาก็เป็นเพียงหนึ่งในภูเขาไฟ 150 ลูก บนคาบสมุทรที่โดดเดี่ยวหนาวเย็น ซึ่งมีภูเขาไฟอย่างน้อย 30 ลูกที่ยังคุกรุ่นอยู่
Ring of Fire
Ring of Fire
          คาบสมุทรคัมชัตกา (Kamchatka) ทอดตัวลงมาทางใต้จากสุดแดนตะวันออกของไซบีเรีย เมื่อรวมกับหมู่เกาะคูริล ซึ่งเป็นหมู่เกาะภูเขาไฟ 50 เก่า ที่เรียงรายลงมาจากปลายคาบสมุทร จะเป็นอาณาบริเวณที่คุกรุ่นที่สุดส่วนหนึ่งของวงแหวนไฟ (Ring of Fire) ซึ่งเป็นแนวภูเขาไฟที่โอบล้อมมหาสมุทรแปซิฟิก เฉพาะภูเขาไฟในบริเวณนี้ก็นับรวมได้ถึง 1 ใน 10 ของภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นทั่วโลก เมื่อปี ค.ศ.1907 ภูเขาไฟชตีอุเบลาพ่นเถ้าและฝุ่นออกมาปกคลุมทั้งคาบสมุทร ซึ่งมีขนาดพอกับประเทศญี่ปุ่น บดบังท้องฟ้าเหนือเมืองเปโตรปาฟลอฟสค์-คัมขัตสกี ที่อยู่ห่างออกไป 100 กม. จมมืดมิด
Kamchatka
Kamchatka
          ที่นี่ยังเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ในช่วง 200 ปีมานี้ไหวกว่า 150 ครั้ง ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1952 มีสถิติรุนแรงรุนแรงเป็นอันดับสองของโลก วัดได้ 8.4 ตามมาตราวิกเตอร์
น้ำพุร้อน Kamchatka
          น้ำพุร้อนเดือดพล่านนับร้อยแห่ง เป็นแหล่งความร้อนแก่เมืองและเรือนเพาะปลูก ชาวเมืองปลูกผักไว้กิน และปลูกมันฝรั่งได้มากพอสำหรับส่งออก ในหุบเขาน้ำพุร้อนใกล้กับภูเขาไฟโครน็อตสกีซึ่งยังคุกรุ่นนั้น มีเสียงซู่ซ่าครืนครืนของไอพลุ่งพลั่งจากน้ำพุร้อน 25 แห่ง แร่ธาตุต่างๆ ที่ตกตะกอนจะระบายหินรอบบริเวณนี้จนเป็นสีแดง ชมพู ม่วงและน้ำตาล น้ำพุร้อนวีคอนซึ่งใหญ่ที่สุด สามารถพ่นน้ำเดือดและไอร้อนสูงถึง 49 ม. นานครั้งละ 4 นาทีทุกๆ 3 ชั่วโมง
Kamchatka
Kamchatka
          หุบเขาน้ำพุร้อนตั้งอยู่ในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติโครน็อตสกีอันสวยงามซึ่งมีพื้นที่เกือบ 10,300 ตร.กม. ทะเลสาบโครน็อตสโกเยที่อยู่ต่ำลงไปตรงไหล่เขาทางตะวันตกเป็นทะเลสาบใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรคัมซัตกา เขตอนุรักษ์นี้ก็เช่นเดียวกับส่วนอื่นของคาบสมุทร คือเป็นแนวยาวตามชายฝั่งทะเล บริเวณที่ราบลุ่มทุนคราอันหนาวเย็น มีหนองบึงเต็มไปด้วยมอนและไลเคน แผ่นดินที่ลาดชันขึ้นสู่ภูเขาเป็นป่าไม้และไพรพุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้เบิร์ช คลุมไปทั่ว ที่นี่เป็นถิ่นของหมีสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปและเอเชีย กวางเรนเดียร์ แกะเขาใหญ่แห่งไซบีเรีย ตัวมิงก์ เชเบิล จิ้งจอกสีเงิน กระรอกอาร์กติก มาร์ม็อตหัวดำ และจิ้งจอกสีน้ำเงิน ตามชายฝั่งก็มีแมวน้ำและนกทะเลหากิน รายได้หลักของคนที่นี่จึงมาจากขนสัตว์และปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนเฟอร์และปลายแซล์มอน
Kamchatka
Kamchatka
          เมืองเปโตรปาฟลอฟสค์-คัมชัตสกีมีประชากรประมาณ 240,000 คนเป็นท่าเรือสำคัญที่มีเรือประมงอุตสาหกรรมเข้าเทียบ อากาศในคาบสมุทรคัมซัตกานั้นจัดว่าทารุณ ฤดูหนาวหนาวจัดยาวนานและมีหิมะตก ฤดูร้อนสั้น อากาศเย็นกับมีฝน แต่สายน้ำร้อนที่ไหลลงสู่แม่น้ำคัมซัตกาไม่เคยจับตัวเป็นน้ำแข็งเลยแม้ในฤดูหนาว
          ลมฟ้าอากาศที่โหดร้ายและความโดดเดี่ยวกันดาร ทำให้คัมซักกาเคยมีชื่อเสียงไม่ดีนักในรัสเซีย พวกเด็กดื้อหรือหัวทึบมักถูกส่งไปนั่งหลังห้องเรียน เรียกว่าไป “คัมซัตกา” เปรียบเหมือนดินแดนไซบีเรียเป็นแดนเนรเทศอาชญากร แต่ความจริงไม่เคยมีอาชญากรถูกเนรเทศไปคัมซัตกาเลย เพราะไม่มีใครยอมไปเป็นผู้คุม
Kamchatka
Kamchatka
          ชนพื้นเมืองคัมซัตกาคือพวกเคอร์ยัคและชุคชีซึ่งถูกกองทัพของพระเจ้าซาร์กวาดล้างเกือบหมด ในช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ยังหลงเหลือลูกหลานบางส่วนอาศัยอยู่บ้าง เมื่อมีการค้าและการขนส่งที่ทันสมัย คัมซัตกาก็มิได้ไกลสุดกู่เช่นกาลก่อน กระนั้นก็ตาม ดินแดนอันงดงามด้วยป่าดงพงไพร ทว่าสุดแสนทารุรณแห่งนี้ ก็ยังสำรวจไม่หมด จึงเป็นหนึ่งในแดนสุดท้ายของโลกที่คงความลึกลับชวนฝัน
Kamchatka
Kamchatka

เซลฟี่(Selfie)

 ไม่น่าแปลกใจหากคุณจะได้ยินคนพูดถึงคำว่า “เซลฟี่” กันบ่อยๆ นั่นก็เพราะเซลฟี่ (Selfie) ได้ชื่อว่าเป็นกระแสที่มาแรงที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา! แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้และไม่ทันระวังกันก็คือโรคเซลฟี่อาจมีอันตรายถึงชีวิต!
Selfie เซลฟี่
Selfie เซลฟี่

เซลฟี่(Selfie) อะไรคือ

               ถึงตอนนี้ หากใครยังไม่รู้จักเซลฟี่ก็คงต้องทำความรู้จักเสียหน่อยแล้ว เพราะขนาดผู้นำสหรัฐฯ อย่างโอบามาก็ยังขออินกระแสเซลฟี่ไปกับเขาด้วย แถมดิกชันนารีอย่างออกซฟอร์ดก็ยังโหวตให้คำนี้เป็นคำศัพท์แห่งปี 2013 เลยทีเดียว!
selfie obama
selfie เซลฟี่
               “Selfie” (อ่านออกเสียงว่า เซล – ฟี่) เป็นคำศัพท์ใหม่ซึ่งหมายถึง การถ่ายรูปตัวเองด้วยตัวเอง โดยผู้ถ่ายถือกล้องหันหน้าเข้าหาตัวเองในระยะช่วงแขน หรือถ่ายภาพตัวเองจากในกระจก
             
เจนนิเฟอร์ ลี jennifer lee
เจนนิเฟอร์ ลี jennifer lee
               การถ่ายภาพตัวเองเช่นนี้มีมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว แต่คำว่า “เซลฟี่” นี้เพิ่งมาฮิตใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคนี้ และคนแรกที่ติดแท็กคำว่า “Selfie” คือ เจนนิเฟอร์ ลี ที่โพสต์รูปตัวเธอเองลงอินสตาแกรมในปี 2011

ทำไมต้อง “เซลฟี่”

               นักจิตวิทยาพบว่า เซลฟี่ช่วยเติมเต็มความต้องการของคนบางกลุ่มซึ่งต้องการให้คนอื่นเห็นตัวตนของเขาในแบบที่เขาต้องการ ด้วยเหตุนี้ คนกลุ่มนี้จึงชอบรูปตัวเองที่ถ่ายด้วยตัวเองมากกว่ารูปที่ผู้อื่นถ่ายให้ นั่นเพราะเขาสามารถควบคุมมุมกล้อง สีหน้า และอารมณ์ของตัวเองในภาพถ่ายให้ออกมาได้ตรงใจ
Selfie เซลฟี่
Selfie เซลฟี่
               นอกจากนี้ สังคมโลกออนไลน์ก็มีผู้คนที่หลากหลาย รวมถึงคนที่ไม่เคยรู้จักกันในโลกความเป็นจริง ผู้เล่นบางกลุ่มต้องการสร้างภาพของตัวเองให้ดูดีในสายตาของคนเหล่านั้น และบางคนก็ปล่อยให้คอมเมนต์และจำนวนไลค์ที่ได้จากคนดูในโซเซียลเน็ตเวิร์คมีอิทธิพลต่อตัวตนของเขาที่แสดงออกมาด้วย เช่น บางคนจริงจังกับการแต่งรูปถ่ายตนเองมาก เพื่อให้ได้รับความชื่นชอบจากเพื่อนในโซเซียลเน็ตเวิร์ค
Selfie นักฟุตบอลประเทศโปรตุเกส
Selfie นักฟุตบอลประเทศโปรตุเกส
               อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยาก็ยอมรับว่า ภาพเซลฟี่ส่วนใหญ่ดูมีแอ๊คชั่น ทำให้คนในรูปดูน่าดึงดูดใจมากกว่าภาพนิ่งธรรมดาที่ดูเหมือนภาพถ่ายติดบัตร!

 คำเตือน! อย่าเผลอสนุกจนเป็นเรื่อง (ละกัน!)

               ดูเผินๆ แล้วเซลฟี่ดูจะเป็นเรื่องเล่นสนุก ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร…แต่เชื่อหรือไม่! นักสุขภาพจิตหลายคนออกมาเตือนให้ระวังอาการติดเซลฟี่ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต!
              ไม่นานมานี้ แดนนี่ โบว์แมน (Danny Bowman) หนุ่มวัยรุ่นอายุ 19 ปี ชาวอังกฤษ สารภาพว่า ในวันหนึ่งเขาใช้เวลากว่า 10 ชั่วโมง ถ่ายรูปตัวเองกว่า 200 รูป และควบคุมน้ำหนักอย่างจริงจัง เพื่อให้ได้ภาพที่พอใจมาโพสต์ลงในโซเซียลเน็ตเวิร์ค แต่พอไม่ได้ภาพที่พอใจ เขาก็รู้สึกเครียดและผิดหวังมากจนกินยายฆ่าตัวตาย แต่ยังโชคดีที่แม่ของเขาช่วยนำส่งโรงพยาบาลได้ทัน!
               สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ นี่ไม่ใช่กรณีแรกที่เกิดขึ้น เพราะสถิติพบว่า คนไข้ที่มีอาการติดเซลฟี่ถึงขั้นป่วยทางจิตในประเทศอังกฤษมีมากถึง 100 รายต่อปีเลยทีเดียว!
               สำหรับทางแก้อาการติดเซลฟี่นั้น แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้คำแนะนำว่า ควรจำกัดเวลาในการเข้าโซเซียลเน็ตเวิร์ค ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในโลกของความเป็นจริง หากิจกรรมยามว่างอย่างอื่นทำ ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ยอมรับในความหลากหลาย รวมถึงเข้าใจว่าบางครั้งเราอาจไม่ได้ถ่ายภาพที่พอใจ พยายามอดทนจนผ่านไปให้ได้ เนื่องจากอาการติดเซลฟี่ส่งผลให้ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองอีกด้วย!
               รู้เช่นนี้แล้ว ใครที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มติดเซลฟี่ ก็ต้องระวังอย่าให้ตัวตนออนไลน์มาทำร้ายตัวตนในโลกความเป็นจริงได้ก็แล้วกัน!
เซลฟี่
เซลฟี่
เซลฟี่
เซลฟี่
เซลฟี่
เซลฟี่